ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

NABANA NO SATO WINTER ILLUMINATION
เทศกาลแสดงไฟที่ใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่น
วันนี้เราพามาเที่ยวงานเทศกาลจัดแสดงไฟที่มีชื่อเสียงที่สุดงานนึงในญี่ปุ่น Nabana No Sato Winter Illumination แม้ว่าชื่อของงานจะเป็นงานแสดงไฟฤดูหนาว แต่จริงๆแล้วงานเทศกาลจัดแสดงไฟแห่งนี้จัดขึ้นในข่วงฤดูใบไม้ผลิยาวไปจนถึงฤดูใบไม้ร่วง จะเริ่มตั้งแต่เดือนตุลาคมไปจนถึงเดือนพฤษภาคมเลยทีเดียว

Nabana No Sato Wintet Illumination จัดขึ้นภายในพื้นที่ของโรงแรม Nagashima Resort ในเมืองคุวานะ(Kuwana) จังหวัดมิเอะ(Mie) ภายในโรงแรมมีพื้นที่ใหญ่มาก แบ่งออกเป็น 4 โซน คือ 1.Nagashima Spa Land and Amusement Park / 2.Hot Spring snd Onsen Complex / 3.Outlet Shopping Mall และ 4.Flower Park ซึ่งงานแสดงไฟ Nabena No Sato Winter Illumination จะจัดขึ้นในโซนนี้

ที่สวนดอกไม้มีเวลาเปิดปิดตั้งแต่ 09:00น.-22:00น. แต่งานแสดงไฟจะเริ่มเปิดไฟในเวลา18:30น.โดยประมาณ ถ้ามาก่อนฟ้ามืดยังไม่ได้เปิดไฟ ก็สามารถเดินชมดอกไม้ภายในสวนไปพรางๆก่อนได้ ที่สวนแห่งนี้จะปลูกดอกไม้ตามฤดูกาลสับเปลี่ยนหมุนเวียนกันไปทั้ง 4 ฤดู สามารถเข้าชมสวนดอกไม้ได้ตลอดทั้งปี

สำหรับการเดินทาง สามารถเดินทางมาได้หลายวิธีทั้งรถไฟและรถบัส เอาแบบนั่งรถบัสก่อน ถ้านั่งรถบัสมาจากนาโงย่าน่าจะเป็นวิธีที่สะดวกที่สุด เพราะใช้เวลาแค่ 35 นาที นั่งต่อเดียวไปลงที่บริเวณพื้นที่จัดงานแสดงไฟ Nabana No Sato ได้เลย จะต้องไปขึ้นรถบัสที่ Meitetsu Bus Center ซึ่งอยู่ในห้าง Meitetsu Department Store(Men's Building)ใกล้กับสถานีรถไฟ Nagoya Sta. พอถึงที่ห้าง Meitetsu Department Store แล้วให้เดินขึ้นไปซื้อตั๋วที่ชั้น3 ค่าตั๋วโดยสารแบบไป-กลับราคา 1,780 เยน จากนั้นเดินไปขึ้นรถที่ชั้น4 Platform หมายเลข22 รถบัสจะวิ่งไปจอดที่ป้ายแรกคือ Nabena No Sato ให้ลงที่ป้ายนี้เลย หลังจากนั้นรถบัสจะวิ่งต่อไปป้ายที่สองคือ Nagashima Onsen สำหรับคนที่จะไปเที่ยวในโซนสวนน้ำสวนสนุกหรือ Outlet Shopping Mall ก็จะมาลงป้ายนี้


แต่ถ้าจะเดินทางมาโดยรถไฟจากนาโงย่า สามารถนั่งรถไฟของJR จากสถานี Nagoya Sta. มาลงที่สถานี Nagashima Sta. แล้วเดินมาขึ้นรถบัสที่หน้าสถานี Kintetsu Nagashima Sta. หรือถ้านั่งรถไฟสายเอกชนจากสถานี Kintetsu Nagoya Sta. มาลงที่สถานี Kintetsu Nagashima Sta. ได้เลยแล้วนั่งรถบัสต่อไปประมาณ 10 นาที

สำหรับผมเดินทางมาจากเมืองอิเสะ(Ise)ในจังหวัดมิเอะ(Mie)เที่ยวล่องมาเรื่อยๆและจะเดินทางต่อไปยังจังหวัดนาโงย่าเลยเลือกแวะเที่ยวที่นี่ก่อน ผมมีบัตร JR Pass เลยเลือกนั่งรถไฟของ JR มาลงที่สถานี Nagashima แล้วเดินไปขึ้นรถบัสที่หน้าสถานีรถไฟ Kintetsu Nagashima Sta. ซึ่งอยู่ใกล้ๆกัน ค่าโดยสารรถบัสประมาณ 220 เยน

พอมาถึงสถานี Nagashima Sta. ให้เดินลงอุโมงค์ตามรูปด้านล่างแล้วเลี้ยวไปทางขวา พอขึ้นมาจากอุโมงค์ก็ข้ามถนนไปจะเห็นสถานีรถไฟ Kintetsu Nagashima Sta. อยู่ข้างหน้า ก็เดินไปรอรถบัสที่ป้ายสีน้ำเงินหน้าสถานีรถไฟได้เลย มีถ่ายรูปตารางเวลารถบัสมาให้ด้วย รถบัสรอบสุดท้ายที่จะไป Nabana No Sato คือเวลา 19:45น. แต่แนะนำให้ไปเช้าหน่อยก่อนฟ้ามืด จะได้มีเวลาถ่ายรูปเก็บภาพบรรยากาศแบบไม่ต้องเร่งรีบ






พอนั่งรถบัสมาลงที่ป้าย Nabana No Sato ก็เดินตรงเข้ามาเลย จะเห็นจุดจำหน่ายตั๋วเข้าชมงาน จะขายอยู่ที่ราคา 2,300 เยน แต่จะมีคูปอง 500 เยน 2 ใบให้มาด้วย ไว้ใช้แทนเงินสดสำหรับใช้ซื้อของหรือใช้จ่ายค่าอาหารได้




พอซื้อตั๋วเข้าชมงานแล้วจะได้แผนที่มาด้วย จากแผนที่เราเดินเข้าไปในบริเวณพื้นที่จัดแสดงเริ่มจากประตูทางเข้าออกตรงกับโซนพื้นที่หมายเลข#3ในแผนที่ เดินวนขวาทวนเข็มนาฬิกาไปตามลูกศรสีน้ำเงิน

จากประตูทางเข้าเดินมาทางขวาจะมาถึงโซนพื้นที่หมายเลข#5(ดูตามแผนที่ด้านบน) จะเป็นพื้นที่จัดแสดงไฟสีน้ำเงิน(White Crystal) เป็นสวนหย่อมๆอยู่หน้า Beer Garden(หมายเลข#4) ใกล้กันมี foot spa ให้นักท่องเที่ยวไปแช่เท้าดูไฟเพลินๆ



ใกล้กันเป็นโซนพื้นที่หมายเลข#6(ดูตามแผนที่ด้านบน) มีโบสถ์เล็กๆและต้นคริสมาสสองต้นประดับประดาไฟสวยงาม ตั้งอยู่บริเวณทางเดินเข้าโบสถ์ ข้างๆโบสถ์เป็นร้านขายเบเกอรี่ชื่อร้าน Marseilles

เดินต่อไปเรื่อยๆจะเป็นโซนร้านอาหารใหญ่ๆอยู่สี่ห้าร้าน ก็สามารถใช้คูปองที่ได้มาใช้จ่ายแทนเงินสดได้ ขาดเหลือก็จ่ายตังค์เพิ่มไป



เดินต่อมาอีกหน่อยจะมาถึงโซนหมายเลข#7(ดูจากแผนผังด้านบน) เป็นสระน้ำขนาดใหญ่กินพื้นที่เป็นบริเวณกว้าง โซนนี้ก็ถือเป็นไฮไลท์ของงานโซนนึง  จัดแสดงไฟเป็นลักษณะเหมือนลำธารน้ำไหล(Light of River) เปลี่ยนสีสลับไปมา โดยมีโบสถ์เล็กๆตั้งอยู่เป็นฉากหลัง มีการจัดแสดงไฟตามต้นไม้รอบๆสระน้ำสีสันสวยงามมาก






เดินเลยมาอีกนิดก็จะถึง Island Fuji จุดชมวิวมุมสูง 360 องศา ซึ่งเราจะต้องนั่งกระเช้าลักษณะคล้ายจานบินขึ้นไป ตรงนี้จะต้องเสียค่าขึ้นกระเช้าคนละ 500 เยน กระเช้าจะยกตัวขึ้นสูงจากพื้นประมาณ 45 เมตรและจะหมุนรอบตัวเอง 1 รอบใช้เวลาประมาณ 10 นาที วิวจากด้านบนจะเห็นบริเวณโดยรอบงานจัดแสดงไฟตั้งแต่ทางเข้าจนมาถึงบริเวณสระน้ำที่เราเดินผ่านมาและโซนที่เป็นไฮไลท์ของงาน อุโมงค์ไฟและภูเขาไฟกับทุ่งดอกไม้ 4 ฤดูที่เรากำลังจะเดินต่อไป







ใกล้กับจุดซื้อตั๋วกระเช้า Island Fuji จะมีบ้านเรือนกระจก Begonia Garden ภายในจัดแสดงดอกไม้และพันธุ์ไม้นานาชนิด จะเข้าชมในโซนนี้ต้องเสียค่าเข้าชม 1,000 เยน โซนนี้เราขอผ่านไม่ได้เข้าชมเพราะต้องรีบทำเวลาละ เดี๋ยวสวนจะปิดซะก่อน

หลังจากลงมาจากกระเช้าก็เดินตามทางมาเรื่อยๆ จะมาถึงอีกมุมนึงของสระน้ำ มองเห็นการจัดแสดงไฟ Light of River ได้อย่างชัดเจน มุมนี้สวยงามมากๆ เรายืนอยู่บนกลางสะพานถ่ายรูปมุมนี้ได้อย่างชัดเจน



ช่วงที่เรามาเที่ยวเป็นช่วงปลายฤดูใบไม้ผลิ ยังมีใบไม้เปลี่ยนสีหลงเหลือให้เห็นอยู่ การจัดแสดงไฟบริเวณต้นไม้สีสันต่างๆทำได้ดีมาก ช่วยดึงสีสันของต้นไม้ออกมาจากความมืดในเวลากลางคืน โดยเฉพาะตอนที่สีสันของต้นไม้สะท้อนกับผิวน้ำเป็นภาพที่สวยงามจริงๆ




เดินต่อมาไม่ไกลก็จะมาถึงไฮไลท์ของงาน Light of Tunnel โซนพื้นที่หมายเลข#9(ดูจากแผนผังด้านบน) อุโมงค์ดาวล้านดวงแห่งนี้ยาวถึง 200 เมตร บริเวณนี้คนเยอะมาก เราพยายามหาจังหวะถ่ายรูปช่วงที่ไม่มีคน ยืนรออยู่นานก็ได้ภาพอย่างที่เห็น ระหว่างที่เดินลอดผ่านอุโมงค์ไฟแห่งนี้เป็นอะไรที่น่าตื่นตาตื่นใจมาก



พอเดินพ้นจากอุโมงค์ไฟมา จะมาถึงโซนพื้นที่หมายเลข#10(ดูจากแผนที่ด้านบน) จัดแสดงเป็นภูเขาไฟและทุ่งดอกไม้ พื้นที่บริเวณนี้ตรีมของงานจะเปลี่ยนไปทุกปี โดยในปีนี้(ปี 2017-2018) จัดแสดงในตรีม Kumamoto Damon ที่รวมเอาของดีและสถานที่สำคัญของเมืองคุมาโมโตะ(Kumamoto)มาจัดแสดง โดยมีตัว คุมะโมง มาสคอตประจำเมืองคุมาโมโตะมาร่วมแสดงสร้างสีสันในงานด้วย พื้นที่ตรงนี้เป็นทุ่งดอกไม้ประดับไฟเป็นบริเวณกว้างและมีภูเขาไฟเป็นฉากหลัง เราสามารถเดินแทรกตัวเข้าไปในทุ่งดอกไม้ไฟได้ ให้บรรยากาศราวกับอยู่ท่ามกลางทุ่งแสงไฟนีออนนับล้านดวงเลย





ต่อเนื่องจากโซนทุ่งดอกไม้ไฟจะเป็นโซนพื้นที่หมายเลข#11(ดูจากแผนผังด้านบน) จะเป็นอุโมงค์ไฟอีกอันแต่จะสั้นกว่าอันแรก อุโมงค์อันนี้จะเปลี่ยนสีสลับกันไปมา



เดินออกมาจากอุโมงค์สลับสี ก็จะมาเจอกับ Spa House เราไม่ได้แวะตรงจุดนี้เพราะใกล้เวลาที่สวนจะปิดแล้ว เดินต่อมาก่อนถึงทางออก จะมีร้านค้าขายของที่ระลึก ร้านขายอาหาร ถ้าใครยังไม่ได้ใช้คูปองเงินสด ตรงนี้เป็นจุดสุดท้าย รีบใช้ซื้อของตรงนี้ให้หมดซะ

ถึงเวลากลับสักที พอเดินออกมาจากบริเวณพื้นที่จัดแสดง ก็เดินมาขึ้นรถบัสที่จุดเดิม มีรถรอบสุดท้ายใกล้กับเวลาปิดทำการ ถ้าจะกลับนาโงย่าโดยรถบัส ให้มารอขึ้นรถที่ป้ายสีแดง ส่วนใครจะกลับโดยรถไฟก็ให้มารอรถที่ป้ายสีฟ้า นั่งกลับไปที่สถานี Kintetsu Nagashima Sta. ก็เลือกเอาว่าจะนั่งรถไฟของJR หรือรถไฟสายเอกชน(Kintetsu Line) ถ้าจะกลับ JR ก็เดินไปขึ้นรถไฟที่สถานี Nagashima Sta. ที่อยู่ใกล้กัน


จบละครับงานแสดงไฟที่ยิ่งใหญ่งานนึงของญี่ปุ่น ขอบอกเลยว่ามันสวยงามมาก ส่วนตัวก็ไม่เคยเที่ยวงานแสดงไฟที่ใหญ่โตขนาดนี้มาก่อน รู้สึกประทับใจมาก เหมือนกับว่าเราหลุดเข้าไปอยู่ในอีกโลกนึงเลย ใครที่มาเที่ยวนาโงย่าน่าจะเอาสถานที่เที่ยวแห่งนี้ใส่เข้าไปในลิสต์ของคุณด้วย หรือถ้ามาจากจังหวัดมิเอะ ลองแวะมาเที่ยวที่นี่ก่อนที่จะไปนาโงย่าก็เป็นความคิดที่ไม่เลว ขอให้สนุกกับการท่องเที่ยวนะครับ

ปล.ชื่นชอบบทความ ช่วยกดไลท์กดแชร์ Facebook Fan Page ด้านล่างสุด จักขอบพระคุณเป็นอย่างยิ่งครับ

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

แนะนำโรงแรมโดนๆ: Urashima Hotel  โรงแรมที่ใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่นกับสุดยอดออนเซน!! วันนี้มารีวิวโรงแรมที่ได้ชื่อว่าเป็นโรงแรมใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่น มีชื่อว่า Urashima Hotel ตั้งอยู่ในจังหวัดวากายาม่า (Wakayama) เมืองคิอิคัทสึอูระ (Kiikatsuura) เมืองนี้เป็นแหล่งจับปลาทูน่าได้มากที่สุดของญี่ปุ่นด้วย โรงแรมแห่งนี้ตั้งอยู่เกาะ ประมาณว่าเกาะทั้งเกาะเป็นของเค้า พื้นที่หลักๆแบ่งออกเป็นสองส่วน ส่วนแรกตั้งอยู่เชิงเขาด้านหน้าเกาะ ซึ่งเป็นส่วนของเคาน์เตอร์ reception และห้องพักบางส่วน ส่วนพื้นที่ที่สองจะตั้งอยู่บนเขาซึ่งเป็นส่วนของห้องพักในระดับราคาที่แพงขึ้นไป มีจุดชมวิว รวมไปถึงออนเซนในบรรยากาศสุดยอด ไฮไลท์ของโรงแรมคือบ่อออนเซนทั้ง 6 บ่อในบรรยากาศออนเซนที่อยู่ในถ้ำริมหน้าผาติดทะเล จะสวยงามอย่างไรตามมาชมเลยครับ เนื่องจากตัวโรงแรมตั้งอยู่บนเกาะที่แยกตัวออกไป การเดินไปโรงแรมเราต้องนั่งเรือข้ามไป ซึ่งทางโรงแรมก็มีบริการเรือรับส่งให้กับนักท่องเที่ยวฟรี รอสักพักเรือของโรงแรมก็มา จากท่าเรือมองเห็นโรงแรมอยู่ไกลๆ นั่งเรือไปประมาณ 10 นาทีก็ถึง เข้ามาถึงโรงแรมก็จะเจอเคาน์เตอร์ Check in ก่อน หลั
ร้านอร่อย NAGOYA : พากิน ประชัดความอร่อย!! วันนี้จะพามากินเมนูเด่นเมนูดังในเมืองนาโกย่า ซึ่งทั้งสองเมนูนี้ก็มีจุดกำเนิดอยู่ที่เมืองนี้ ร้านแรกที่จะพาไปกินคือร้านข้าวหน้าหมูทอด yabaton เมนูเหมือนจะธรรมดาแต่มันไม่ธรรมดา ความพิเศษของข้าวหน้าหมูทอดร้านนี้คือเจ้าตัวซอสมิโซะที่ใช้ราดบนหมูทอด แตกต่างจากร้านทงคัตสึทั่วไปที่จะกินกับซอสวูสเตอร์(ซอสรสเปรี้ยวอมหวาน) ซึ่งเจ้าซอสมิโซะก็มีถิ่นกำเนิดอยู่ที่เมืองนาโงย่านี่แหละ อีกเมนูนึงที่จะพาไปกินคือข้าวหน้าปลาไหล Horaiken ร้านนี้เป็นต้นกำเนิดเมนูข้าวหน้าปลาไหลเลยนะ ก่อนที่มันจะได้รับความนิยมแพร่หลายไปทั่วญี่ปุ่น สำหรับผมต้องยกให้เป็นเบอร์หนึ่งในเรื่องข้าวหน้าปลาไหลที่อร่อยที่สุดในญี่ปุ่นเลย วันนี้พาไปกินร้านดังทั้งสองร้านของเมืองนาโงย่า ส่วนร้านไหนอร่อยกว่ากันให้ทุกท่านเป็นผู้ตัดสินเองนะครับ^^ YABATON  ข้าวหน้าหมูทอด เริ่มที่ข้าวหน้าหมูทอด Yabaton ก่อน ร้านนี้จริงๆมีสาขาอยู่ทั่วเมืองนาโงย่า ประมาณว่าเดินไปตรงไหนก็เจอ แต่เราจะพามาที่สาขาตรงสถานีรถไฟ JR Nagoya หาง่ายหน่อย พอมาถึงสถานีรถไฟ JR Nagoya แล้วให้เดินออกทางด้านหลัง ตรงทางออก Taiko-do
แนะนำโรงแรมโดนๆ: SARUGAKYO โรงแรมเต้าหู้ ชื่ออาจจะฟังดูแปลกๆ ที่เรียกว่าโรงแรมเต้าหู้เพราะมีโรงงานทำเต้าหู้เล็กๆอยู่ภายในโรงแรม ที่สำคัญเค้าสามารถนำเอาผลิตภัณฑ์จากเต้าหู้ที่ทำเองมารังสรรค์เป็นเมนูหลากหลายให้แขกที่มาพักในโรงแรมได้ทานกันทั้งอาหารเช้าและอาหารเย็น ขอบอกเลยว่าอร่อยมาก ไม่คิดว่าเต้าหู้จะสามารถนำมาทำเป็นอาหารทั้งคาวหวานได้หลากหลายแบบนี้ ตามมาดูกันเลย Sarugakyo (อ่านว่า: ซารุกาเคียว) เป็นโรงแรมที่ตั้งอยู่ในจังหวัดกุนมะ(Gunma) ในเมืองมินาคามิ (Minakami) ซึ่งเป็นแหล่งน้ำพุร้อนที่มีชื่อเสียงของญี่ปุ่น ห่างจากกรุงโตเกียวประมาณหนึ่งชั่วโมงครึ่ง โรงแรมแห่งนี้ตั้งอยู่ในพื้นที่อุทยานแห่งชาติโจชินเอะสึโคเก็น ติดกับทะเลสาบอะคายะ อีกฟากของโรงแรมจะเป็นเทือกเขาทานิกาว่า มีทัศนียภาพสวยงามตลอดทั้งปี บริเวณล๊อปบี้ของโรงแรมสามารถมองเห็นวิวทะเลสาบอะคายะได้อย่างชัดเจน โรงแรมแห่งนี้มีห้องพักทั้งหมด 52 ห้อง มีตั้งแต่ห้องพักสไตล์ญี่ปุ่น และห้องพักที่เป็นสไตล์ญี่ปุ่นผสมตะวันตก มาดูโรงงานเต้าหู้ภายในโรงแรมกันบ้าง โรงงานจะเป็นอาคารชั้นเดียวแยกออกมาต่างหากจากอาคารที่พัก ตั้งอยู่ชั้นล่
ทริป 1 วัน จาก Tokyo สู่ Shizuoka พอพูดถึงการมาเที่ยวชมความงดงามของภูเขาไฟฟูจิ หลายคนจะนึกถึงเมือง Kawaguchiko ในจังหวัด Yamanashi จริงๆแล้วภูเขาไฟฟูจิมีพื้นที่ติดกับสองจังหวัดในญี่ปุ่น อีกจังหวัดที่กล่าวถึงคือจังหวัด Shizuoka ซึ่งจะมีทัศนียภาพของภูเขาไฟฟูจิที่งดงามแตกต่างกันออกไป การมาเที่ยวชมภูเขาไฟฟูจิในจังหวัดชิซูโอกะ เราจะได้พบกับทัศนียภาพของภูเขาไฟฟูจิกับไร่ชาเขียวซึ่งมีความสวยงามไปอีกแบบ รายละเอียดโปรแกรมการเที่ยว เริ่มจากนั่งรถไฟจากโตเกียวมาลงที่สถานี Shizuoka Sta. ต่อรถบัสมาเที่ยวแถบ Nihondaira แวะถ่ายรูปที่จุดชมวิว (1)Nihondaira Hill สัมผัสกรรมวิธีการเก็บใบชาที่ (2)Nihondaira Tea Hall ถ่ายรูปไร่ชาโดยมีภูเขาไฟฟูจิเป็นฉากหลัง ตลอดจนแวะซื้อผลิตภัณฑ์ชาเขียวได้ที่ร้านขายชาในสวน จากนั้นเดินกลับมาขึ้นกระเช้าไปเที่ยวบนเขา Mt.Kuno ซึ่งเป็นที่ตั้งของศาลเจ้า (3)Kunosan Toshogu ชมสถาปัตยกรรมที่งดงามและสักการะบูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ จากนั้นนั่งกระเช้ากลับลงมาต่อรถบัสกลับเข้าไปเดินเล่นในเมือง เดินเล่นช็อปปิ้งที่ถนน (4)Gofukucho Dori แวะทานทาร์ตผลไม้ร้านดัง (5)Qu'il Fait Bon
ทริป 1 วัน จาก Osaka สู่ Wakayama ปราสาทสวย รวยของอร่อย ต้องที่นี่!! จังหวัดวากายาม่าตั้งอยู่ในพื้นที่ใต้สุดของภูมิภาคคันไซ มีพื้นที่ชายฝั่งติดทะลและมีเมืองหลวงชื่อวากายาม่า ชื่อเดียวกับจังหวัด อยู่ห่างจากโอซาก้าประมาณ 1 ชั่วโมงโดยรถไฟ มีสถานที่ที่น่าสนใจอยู่หลายแห่ง วันนี้เราจัดทริปเลือกเอาสถานที่ที่น่าสนใจในเมืองวากายาม่า ให้สามารถเที่ยวได้จบภายในหนึ่งวัน ลองมาดูกันว่ามีที่ไหนที่น่าสนใจบ้าง ทริปนี้เราเที่ยวกันอยู่ในเมืองวากายามา เริ่มจากนั่งรถบัสไปเที่ยวที่ (1) Wakayama Marina City ศูนย์รวมแหล่งท่องเที่ยวที่มีทั้งตลาดปลา Kuroshio สวนสนุก Porto Europa และตลาดผลไม้ กินอาหารกลางวันบาบีคิวปิ้งย่างในบรรยากาศตลาดสดติดริมทะเล จากนั้นนั่งรถบัสเดินทางไปเที่ยวต่อที่ (2) Wakayama Castle ที่มีสวนและธรรมชาติโดยรอบที่สวยงาม หามุมถ่ายรูปสะพานไม้โบราณที่มีตัวปราสาทวากายาม่าเป็นฉากหลัง จากนั้นแวะกินราเมงก่อนกลับที่ร้าน (3) Ide Shoten Ramen ราเมงที่ชนะที่ 1 ในรายการทีวีแชมเปี้ยน ร้านดังประจำจังหวัด จบทริปเดินทางกลับโอซาก้า ขอเริ่มที่สถานี JR-Namba Sta. ในเมือง Osaka นั่งขบวนรถไฟ JR Yamatoji
เลิกงงซะที ในสถานีรถไฟญี่ปุ่น!! หลายคนมาเที่ยวญี่ปุ่นก็คงหนีไม่พ้นต้องใช้รถไฟในการเดินทางเป็นหลัก เพราะมันสะดวกและไปได้ทั่วถึงทุกที่ สำหรับนักท่องเที่ยวมือใหม่คงจะงงกับระบบรถไฟของญี่ปุ่น ไม่ใช่เฉพาะแค่มือใหม่หัดเที่ยว ขนาดมือเก่าที่เคยมาเที่ยวญี่ปุ่นบ้างแล้วบางคนยังมีอาการมึนงง นั้นเป็นเพราะมันมีรถไฟหลายประเภทหลายสายมากๆ แค่ยืนดูแผนผังรถไฟก็งงแล้ว วันนี้เรามาบอกวิธีการสังเกตง่ายๆในการทำความเข้าใจระบบรถไฟของญี่ปุ่น เพื่อจะขึ้นรถไฟแล้วไม่งงไม่หลงอีกต่อไป ทำความรู้จักกับประเภทของรถไฟต่างๆในญี่ปุ่นกันก่อน ถ้าจะให้แบ่งประเภทรถไฟในญี่ปุ่นก็อาจจะแบ่งได้หลักๆเป็น 3 ประเภท 1. รถไฟ JR 2. รถไฟความเร็วสูง(Shinkansen) 3. รถไฟใต้ดิน(Subway) ที่ต้องการแบ่งให้เห็นชัดเจนอย่างนี้เพราะรถไฟแต่ละประเภทจะมีชานชาลา(Track)และมีรางวิ่งเป็นของตัวเอง ยกตัวอย่าง เช่นถ้าคุณต้องการเดินทางด้วยรถไฟความเร็วสูง(Shinkansen) คุณก็ต้องเดินไปขึ้นที่ชานชาลาเฉพาะของรถไฟ Shinkansen นั้นเอง เรามาลองทำความรู้จักรถไฟแต่ละประเภทให้มากขึ้น รถไฟ JR เป็นเครือข่ายรถไฟที่วิ่งอยู่ทั่วประเทศ ทั้งวิ่งในตัวเมืองและวิ่งข้าม
ทริป 1 วัน จาก Tokyo สู่ Kanagawa: เที่ยว 2 สถานศักดิ์สิทธิแห่งเมืองคามาคุระ  ตามหาเทพมังกรบนเกาะเอ็นโนชิมะ   โปรแกรมนี้ค่อนข้างแน่นถ้าจะเก็บให้ครบต้องออกแต่เช้า จบทริปก็สักประมาณหัวค่ำ ทริปนี้เริ่มจากเดินทางถึงสถานีรถไฟ  Hase Sta. เดินไปขอพรเจ้าแม่กวนอิมที่วัด (1) Hasedera Temple หลังจากนั้นเดินต่อไปสักการะบูชาพระใหญ่ไดบุสึที่วัด (2) Kotoku-in Temple จากนั้นเดินทางต่อไปที่เกาะ (3) Enoshima Island ใช้เวลาเที่ยวบนเกาะประมาณ 3 -4 ชั่วโมง เหตุผลที่ให้เที่ยวเกาะ Enoshima เป็นที่สุดท้ายเพราะในเวลาตอนเย็นช่วงพลบค่ำบนเกาะจะเปิดไฟสวยงาม จะได้ชมบรรยากาศไปอีกแบบนึง จบทริปก็เดินทางกลับ Tokyo ENOSHIMA KAMAKURA FREE PASS การเดินทางในทริปนี้แนะนำให้ซื้อ Enoshima Kamakura Freepass 1 day เป็นพาสใช้เดินทางไปตามเมืองต่างๆ ในจังหวัด Kanagawa ภายใน 1 วัน ราคา 1,470 เยน ซึ่งจะประหยัดกว่าแยกจ่ายค่ารถไฟเป็นเที่ยวๆ (ในกรณีที่มี JR Pass ไม่ต้องซื้อพาสนี้ก็ได้ แต่ก็ต้องจ่ายค่ารถไฟบางขบวนอยู่ดี) ส่วนสถานที่จำหน่ายตั๋วก็สามารถซื้อได้จากตัวแทนจำหน่ายในบ้านเราได้เลย หรือจะซื้อจากตู้จำหน่ายตั๋วในสถ
ทริป 1 วันจาก Osaka สู่จังหวัด Mie จังหวัดมิเอะ(Mie)ตั้งอยู่ทางตอนกลางของเกาะฮอนชู เป็นอีกหนึ่งจังหวัดที่มีสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจเยอะมาก ไม่ว่าจะเป็นสถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติ เช่น เกาะไข่มุข(Mikimoto Pearl Island) หินแต่งงาน(Meoto Iwa) มีอาหารอร่อยที่มีชื่อเสียง เช่น กุ้งมังกรอิเสะ หอยนางรม (ที่มีชื่อเสียงติดอันดับ 1 ใน 3 ของญี่ปุ่น อย่างที่เคยเขียนไว้ในรีวิวก่อนหน้านี้  Maruzen Oyster Farm ) รวมไปถึงเนื้อมัตสึซากะหนึ่งในเนื้อวัวที่ดีที่สุดของโลกก็เป็นผลผลิตมาจากจังหวัดนี้ มีสถานที่ท่องเที่ยวทางวัฒนธรรม เช่น ศาลเจ้าอิเสะ(Ise Grand Shrine) ถนนโบราณโอฮาไรมาชิ(Ohamarachi) และปราสาทอิงะ(Iga Castle) รวมไปถึงสถานที่ท่องเที่ยวอื่นๆอีกมากมาย เช่น พิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำ(Toba Aquarium) พิพิธภัณฑ์นินจา(Ninja Museum of Igaryu) และงานจัดแสดงไฟที่ยิ่งใหญ่ Nabana No Sato Winter Illumination(อ่านรีวิวได้ที่นี่  Nabana No Sato Winter Illumination ) ที่กล่าวมาทั้งหมดคงใช้เวลาเที่ยวภายในวันเดียวไม่หมด ผมมีเวลาอยู่ในจังหวัดนี้แค่ 1 วันเลือกเที่ยวอยู่แค่ในเมืองอิเสะ(Ise)และเมืองโทบะ(Toba) เป็นหนึ่ง
ทริป 1 วัน จาก Osaka สู่ Hyogo ตอน: เช้าไปเย็นกลับที่ Arima Onsen ทริปนี้เรามาเที่ยวกันที่จังหวัดเฮียวโกะ จังหวัดนี้มีอะไรดัง? ถ้าพูดถึงเมืองโกเบคนส่วนใหญ่คงรู้จักดี โกเบก็เป็นเมืองที่อยู่ในจังหวัดเฮียวโกะ แต่วันนี้เราจะพาไปเที่ยวเมืองออนเซนชื่อดังที่อยู่อีกฝั่งนึงของเมืองโกเบ อาริมะออนเซนเป็นเมืองออนเซนที่มีชื่อเสียง มีน้ำแร่คุณภาพดีที่สุดติดอับดับ 1 ใน 3 ของญี่ปุ่น สามารถเดินทางมาจากโอซาก้า เที่ยวแบบเช้าไปเย็นกลับได้ นอกจากนั้นในช่วงเย็นๆ เราพาขึ้นเขาไปดูวิวกลางคืนของอ่าวโกเบที่ได้ฉายาว่า The Million Dollar Night View ทริปนี้จะฟินขนาดไหน ตามมาครับ HANKYU HIGHWAY BUS เราเลือกใช้วิธีการเดินทางจากโอซาก้าโดยรถบัสของ Hankyu Highway Bus น่าจะเป็นวิธีการเดินทางที่ง่ายที่สุด ถ้านั่งรถไฟมันต้องนั่งกันหลายต่อ เรามาขึ้นรถบัสที่ Hankyu Sanban Gai ใต้สถานีรถไฟใต้ดิน Hankyu Umeda Sta.(Subway) รถบัสที่วิ่งไปกลับระหว่างโอซาก้ากับอาริมะออนเซนจะมีอยู่ด้วยกัน 3 สาย นั่งไปได้ทั้ง 3 สาย ต่างกันที่จะมีบางสายวิ่งตรง บางสายแวะบางจุดก่อน จากภาพด้านล่าง -สายสีแดง(Express) จะแวะที่สถานีรถไ
ทริป 1 วัน จาก Tokyo สู่ Chiba เสน่ห์ 2 เมืองเก่าในจังหวัดชิบะ ตามรอยละครดัง ทริปนี้โปรแกรมไม่แน่น มีเวลาให้เดินเล่นชมเมืองสบายๆในเขตเมืองเก่าทั้ง 2 เมืองในจังหวะดชิบะซึ่งอยู่ไม่ไกลกัน ส่วนที่พาดหัวไว้ว่า "ตามรอยละครดัง" เพราะว่ามีหนังญี่ปุ่นหลายต่อหลายเรื่อง รวมไปถึงละครไทยเรื่อง "รอยรักหักเหลี่ยมตะวัน" และหนังไทยเรื่อง "ฟัด จัง โตะ" ก็ใช้โลเคชั่นของวัดนาริตะซันกับเมื่องโบราณซาวาระเป็นที่ถ่ายทำด้วย การเดินทางสู่เมืองนาริตะเริ่มจากสถานีรถไฟ Tokyo Sta. นั่งรถไฟสาย JR Sobu Line Rapid Service ถึงสถานี Narita Sta. ใช้เวลาเดินทาง 73 นาที (จริงๆมีขบวนอื่นสามารถเดินทางมาถึงได้เหมือนกัน แต่ขบวนนี้ง่ายที่สุดแล้ว) รถไฟจะแวะจอดที่สถานี Chiba Sta. ไม่ต้องลง นั่งต่อไปเลยจนถึงสถานี Narita Sta. รถไฟขบวนนี้จะมีทุกๆชั่วโมง ถึงเมืองนาริตะ เที่ยววัดดังประจำจังหวัด Naritasan Shinshoji ตลอดเส้นทางสู่วัดนาริตะซังจะผ่านถนนสายการค้า Omotesando ซึ่งสองข้างทางเต็มไปด้วยร้านค้าขายของที่ระลึก สินค้าพื้นเมือง และร้านอาหารยาวเป็นระยะทางกว่า 1 กิโลเมตร ระหว่างทางท่านจะพบ