ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

ทริป 1 วันจาก Osaka สู่จังหวัด Mie
จังหวัดมิเอะ(Mie)ตั้งอยู่ทางตอนกลางของเกาะฮอนชู เป็นอีกหนึ่งจังหวัดที่มีสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจเยอะมาก ไม่ว่าจะเป็นสถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติ เช่น เกาะไข่มุข(Mikimoto Pearl Island) หินแต่งงาน(Meoto Iwa) มีอาหารอร่อยที่มีชื่อเสียง เช่น กุ้งมังกรอิเสะ หอยนางรม (ที่มีชื่อเสียงติดอันดับ 1 ใน 3 ของญี่ปุ่น อย่างที่เคยเขียนไว้ในรีวิวก่อนหน้านี้ Maruzen Oyster Farm) รวมไปถึงเนื้อมัตสึซากะหนึ่งในเนื้อวัวที่ดีที่สุดของโลกก็เป็นผลผลิตมาจากจังหวัดนี้ มีสถานที่ท่องเที่ยวทางวัฒนธรรม เช่น ศาลเจ้าอิเสะ(Ise Grand Shrine) ถนนโบราณโอฮาไรมาชิ(Ohamarachi) และปราสาทอิงะ(Iga Castle) รวมไปถึงสถานที่ท่องเที่ยวอื่นๆอีกมากมาย เช่น พิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำ(Toba Aquarium) พิพิธภัณฑ์นินจา(Ninja Museum of Igaryu) และงานจัดแสดงไฟที่ยิ่งใหญ่ Nabana No Sato Winter Illumination(อ่านรีวิวได้ที่นี่ Nabana No Sato Winter Illumination) ที่กล่าวมาทั้งหมดคงใช้เวลาเที่ยวภายในวันเดียวไม่หมด ผมมีเวลาอยู่ในจังหวัดนี้แค่ 1 วันเลือกเที่ยวอยู่แค่ในเมืองอิเสะ(Ise)และเมืองโทบะ(Toba) เป็นหนึ่งวันเต็มๆที่เที่ยวแทบจะไม่ทันและคิดว่าจะหาเวลากลับมาเที่ยวอีกสักครั้ง

KINTETSU RAIL PASS PLUS(5 DAYS)

การเดินทางมาเที่ยวจังหวัดมิเอะ จากโอซาก้าง่ายที่สุดคือนั่งรถไฟเอกชน Kintetsu Railway ใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมงจากสถานี Tsuruhashi Sta.ในโอซาก้า ไปลงที่สถานี Toba Sta.ในจังหวัดมิเอะ แนะนำให้ซื้อเป็น Kintetsu Rail Pass Plus แบบ 5 วันไปเลย(ราคา 4,800 เยน) เพราะลำพังนั่งรถไฟไปกลับจากโอซาก้าค่าโดยสารก็แพงกว่าราคาซื้อพาสแบบ 5 วันแล้ว (สำหรับขบวนที่เป็น limited exp. ถ้าจะนั่ง จะต้องจ่ายค่า reserved seat เพิ่มด้วย)

ซึ่งพาสนี้สามารถใช้เที่ยวครอบคลุมได้ถึง 5 จังหวัดได้แก่ Osaka, Kyoto, Nara, Ise Shima, และ Nagoya สามารถหาซื้อได้ทั้งในและนอกประเทศญี่ปุ่น แต่แนะนำให้ซื้อกับเอเจนซี่นอกประเทศญี่ปุ่นจะได้ราคาถูกกว่า สำหรับผมเดินทางโดยใช้พาสอีกตัวนึง Ise Kumano Pass ของค่าย JR เที่ยวล่องขึ้นมาเรื่อยๆจาก Wakayama - Shirahama - Kii Tanabe จนมาถึงเมืองโทบะในจังหวัดมิเอะแห่งนี้

พอมาถึงสถานีรถไฟ Toba Sta. เราจะข้ามไปฝั่งตรงข้ามไปขึ้นรถบัสที่ Toba Bus Center ภายในสถานีรถไฟ Toba Sta. จะมีสะพานลอยทางเชื่อมระหว่างทั้งสองอาคารอยู่

จาก Toba Bus Center เราจะนั่งรถบัสของ Mie Kotsu เที่ยวไปยังสถานที่ต่างๆ รถบัสของ Mie Kotsu มีครอบคลุมอยู่หลายสาย แต่สายที่เราจะนั่งคือ Can Bus ซึ่งเป็นสายที่วิ่งระหว่างเมืองโทบะกับเมืองอิเสะ สำหรับคนที่มีบัตร Kintetsu Rail Pass Plus หรือ Ise Kumano Pass สามารถใช้นั่ง Can Bus เที่ยวไปตามจุดต่างๆของเมืองได้เลย



จาก Toba Bus Center เราจะนั่งรถบัสไปลงที่ป้าย Meotoiwa Hagashiguchi ซึ่งใกล้กับพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำ Ise Sea Paradise ให้เราลงที่ป้ายนี้แล้วเดินต่อขึ้นไปอีกไม่ไกล เราจะเดินไปห้าง Futami Plaza ที่อยู่ติดกับ Ise Sea Paradise เพื่อเดินทะลุไปด้านหลังของห้างซึ่งติดกับทางเข้าด้านหลังของศาลเจ้า Futami Okitama



ภายในห้าง Futami Plaza มีร้านขายของฝากของที่ระลึกอยู่เต็มไปหมด โดยเฉพาะอาหารทะเลแปรรูปที่ถือเป็นของดีของจังหวัดมิเอะ ภายในห้างจะมีป้ายบอกทางไปหินแต่งงาน Meoto Iwa อยู่ตลอดทาง



FUTAMI OKITAMA SHRINE
ด้านหลังห้าง Futami Plaza จะอยู่ติดกับทะเล เป็นทางเดินไปด้านหลังศาลเจ้า Futami Okitama ซึ่งเป็นที่ตั้งของหิน Meoto Iwa บริเวณนี้ลมจะแรงมาก ถ้ามาในช่วงหน้าหนาวแนะนำให้ใส่แจ็คเก็ตกันลม ผ้าพันคอ และถุงมือให้พร้อมเพราะหนาวมาก

Meoto Iwa Rocks จะเป็นหินสองลูก ลูกนึงใหญ่ลูกนึงเล็กใช้แทนลักษณะของผู้ชายและผู้หญิง โดยมีเชือกคล้องไว้กับหินทั้งสองลูก เปรียบเสมือนกำลังอยู่ในพิธีมงคลสมรถ นั้นคือที่มาของคำว่า "หินแต่งงาน" และแน่นอนผู้คนที่มาเยือนที่ศาลเจ้าแห่งนี้ก็จะมาขอพรเรื่องความรัก ในทุกๆ 3 ปี จะมีพิธีใหญ่ในการเปลี่ยนเชือกที่คล้องอยู่บนหิน ผู้เข้าร่วมในพิธีก็จะช่วยกันนำเอาเขือกฟางเส้นใหญ่ลงทะเลขึ้นไปคล้องไว้บนหินทั้งสองตามเดิม

ตามความเชื่อก่อนที่จะไปเยือนศาลเจ้า Ise Grand Shrine ที่ถูกจะต้องมาที่ศาลเจ้า Futami Okitama Shrine ก่อนเพื่อเป็นการชำระจิตใจให้สะอาด ศาลเจ้าแห่งนี้สร้างขึ้นเพื่ออุทิศให้กับเทพเจ้า Sarutahiko no okami ซึ่งเป็น 1 ใน 6 มหาเทพของญี่ปุ่น และเป็นเทพเจ้าที่ใกล้ชิดกับมนุษย์มากที่สุดเนื่องจากเป็นเทพที่มีหน้าที่ดูแลและจัดการทุกสรรพสิ่งบนโลก

นอกจากนี้เรายังสังเกตุเห็นมีเชือกฟาง มัดเป็นวงกลมให้คนซื้อถวายกันด้วย อันนี้ก็ไม่ทราบความหมายเหมือนกันว่าทำไมถึงต้องถวายเป็นเชือกฟาง ถ้าให้เดาก็อาจเป็นได้ว่าเชือกฟางที่ได้รับจากการถวายมาจะถูกนำมามัดเป็นเชือกเส้นใหญ่แล้วนำไปคล้องอยู่บนหินที่เราเห็นอยู่นั้นแหละ(อันนี้เดาเอาเองนะครับ)

ภายในบริเวณศาลเจ้าจะมีรูปปั้นกบอยู่เต็มไปหมด เชื่อกันว่ากบเป็นสัตว์ประจำกายของเทพ Sarutahiko no okami ผู้คนนิยมมาลูบศีรษะขอพรกับเจ้ากบตัวที่อยู่หน้าหินแต่งงาน

จริงๆแล้วช่วงเวลาที่ดีที่สุดในการมาชมหินแต่งงานคือช่วงเวลาที่พระอาทิตย์ขึ้น ซึ่งดวงอาทิตย์จะขึ้นมาระหว่างหินทั้งสองก้อน ปรากฎการนี้จะเกิดขึ้นเพียงแค่ 4-5 ครั้งในหนึ่งปีเท่านั้น

เสร็จจากศาลเจ้า Futami Okitama Shrine เราเดินกลับไปที่ป้ายรถบัสเดิมที่เราลงมา(Meotoiwa Higashiguchi) นั่งรถ Can bus ต่อไปลงที่ป้าย Naiku mae เพื่อไปเที่ยวศาลเจ้าชั้นใน(Naiku) ถ้าดูจากแผนที่ด้านล่างป้ายรถบัส Naiku mae จะอยู่ใกล้กับถนนโบราณ Oharaimachi และทางเข้าศาลเจ้า Naiku เราจะไปเที่ยวศาลเจ้า Naiku กันก่อนแล้วค่อยเดินกลับมาเที่ยวถนนโบราณ Oharaimachi

ISE GRAND SHRINE
ศาลเจ้า Ise Grand Shrine เป็นศาลเจ้าที่มีอายุนานกว่า 2,000 ปี แต่ยังไม่มีหลักฐานแน่ชัดว่าเป็นศาลเจ้าที่เก่าแก่ที่สุดในญี่ปุ่นหรือป่าวเมื่อถูกนำไปเปรียบเทียบกับศาลเจ้า Izumo Shrine ในจังหวัดชิมาเนะ(Shimane) แต่ถ้าดูจากสถาปัตยกรรมแล้วเชื่อว่าศาลเจ้า Izumo Shrine น่าจะเก่าแก่กว่า แต่เนื่องจากศาลเจ้า Ise Grand Shrine มีความเกี่ยวพันกับราชวงค์ของญี่ปุ่นจึงถือว่าเป็นศาลเจ้าที่มีความสำคัญสูงสุด ภายในกินพื้นที่เป็นบริเวณกว้างใหญ่มาก ประกอบไปด้วย 2 ศาลเจ้าหลักคือ ศาลเจ้าชั้นนอก(Ise Geku Shrine) และศาลเจ้าชั้นใน(Ise Naiku Shrine) และยังมีศาลเจ้าย่อยอีกกว่า 125 แห่งภายในบริเวณพื้นที่เดียวกัน

โดยทั้งศาลเจ้า Geku และ Naiku จะมีอาคารศาลเจ้าหลักเรียกว่า โกะโชงู สร้างด้วยไม้สนฮิโนกิ ในรูปแบบสถาปัตยกรรมโบราณของญี่ปุ่น เป็นอาคารหลังคาหน้าจั่วรูปแบบเรียบง่ายแต่ดูมีมนต์ขลัง และมีธรรมเนียมปฏิบัติอยู่ว่า ในทุกๆ 20 ปีจะต้องทำการรื้อถอนอาคารและสร้างใหม่บนพื้นที่อีกตำแหน่งนึง ซึ่งก็คือพื้นที่บริเวณข้างๆที่ถูกปล่อยว่างไว้ ทั้งนี้ก็เพื่อเป็นการถ่ายทอดขนบธรรมเนียมประเพณีและศิลปะในการก่อสร้างอาคารให้สืบทอดต่อกันไปจากรุ่นสู่รุ่น


ISE NAIKU SHRINE
บริเวณทางเข้าศาลเจ้าทั้งที่ Geku และ Naiku จะมีเสาโทริอิที่ดูเรียบๆไม่ได้ทาสีแดงเหมือนศาลเจ้าอื่นๆทั่วไป บริเวณเสาทั้งสองข้างจะมีกิ่งของต้น Sakaki ติดไว้อยู่ เราจะสังเกตุเห็นผู้คนเวลาจะเดินผ่านเสาโทริอิจะต้องโค้งคำนับทั้งเข้าและออก ที่ศาลเจ้า Naiku เสาโทริอิจะตั้งอยู่ตรงหัวสะพาน สะพานนี้มีชื่อว่า Ujibashi มีความยาวประมาณ 100 เมตร เป็นสะพานข้ามแม่น้ำ Isuzu มีความสำคัญเพราะเชื่อว่าเป็นทางเชื่อมระหว่างโลกมนุษย์และดินแดนศักดิ์สิทธิ์ คนญี่ปุ่นมีความเชื่อว่าการเดินข้ามสะพานข้ามแม่น้ำเป็นส่วนหนึ่งในการชำระจิตใจให้สะอาดก่อนเข้าพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์

เมื่อเดินข้ามสะพาน Ujibashi เข้ามายังพื้นที่ด้านในจะเจอกับแม่น้ำ Isuzu ผู้คนจะใช้แม่น้ำสายนี้ล้างมือล้างหน้าชำระร่างกายให้บริสุทธิก่อนเดินเข้าศาลเจ้า


Ise Naiku Shrine เป็นศาลเจ้าเก่าแก่ซึ่งเชื่อว่าเป็นที่สถิตย์ของเทพเจ้าองค์แรกของญี่ปุ่น อะมะเทะระสึ(Amaterasu) ซึ่งเป็นเทพแห่งดวงอาทิตย์ เชื่อกันว่าราชวงค์ของญี่ปุ่นสืบเชื้อสายโดยตรงมาจากเทพเจ้าองค์นี้ ถือเป็นเทพเจ้าสูงสุดของชาวญี่ปุ่น ภายในอาคารหลักไม่อนุญาติให้ถ่ายรูป

OHARAMACHI STREET
เสร็จจากศาลเจ้า Naiku เราเดินย้อนกลับออกมาเที่ยวที่ถนนโบราณ Oharaimachi ถนนสายนี้มีความยาว 1 กิโลเมตร สองข้างทางเต็มไปด้วยร้านค้าบ้านเรือนซึ่งเป็นอาคารเก่าแก่อนุรักษ์ไว้เป็นอย่างดี ถนนเส้นนี้เต็มไปด้วยผู้คนมากมาย ส่วนใหญ่จะเป็นนักท่องเที่ยวที่มาเดินซื้อหาของกิน ของที่ระลึก บรรยากาศดูคึกคักมาก


ผมเองก็เที่ยวถนนโบราณมาเยอะ แต่ขอยกให้ถนนโบราณสายนี้เป็นที่หนึ่งในใจเลย ด้วยบรรยากาศบ้านเรือนที่ดูเก่าแก่ ด้วยความคึกคักของนักท่องเที่ยว และเป็นแหล่งรวมของกินอร่อยๆเยอะแยะมากมาย ของดีของอร่อยในจังหวัดมิเอะมันก็รวมตัวอยู่ในถนนเส้นนี้แหละ ผมเลยขอรวบรวมเอาร้านที่ถูกอกถูกใจมาบอกต่อกัน

EBIYA
ร้านแรกที่จะพาไปชิม ถ้าเดินมาจากศาลเจ้า Naiku จะเจอร้าน Ebiya อยู่ขวามือ เมนูเด็ดของร้านนี้คือหอยเป๋าฮื้อเสียบไม้ย่างจิ้มน้ำซอสแสนอร่อย ปกติหอยเป๋าฮื้อเป็นอาหารราคาแพง แต่ร้านนี้มีหอยเป๋าฮื้อขายในราคาเฟรนลี่มากๆ รับประกันความสดอร่อย นอกจากนี้ภายในร้านยังมีอาหารตามสั่งเป็นพวกอาหารทะเลท้องถิ่นที่ขึ้นชื่อของจังหวัดมิเอะให้สั่งกินกันในร้านด้วย



MARUGOTO KAJUTEN
เดินมาอีกสักนิดจะสังเกตุเห็นคนเดินถือผลไม้คล้ายส้มเสียบหลอดอยู่ มาจากร้าน Marugoto Kajuten นั้นเอง ร้านนี้ขายน้ำผลไม้ เป็นน้ำส้มหรือน้ำเกรปฟรุ๊ต เราสามารถเลือกส้มเองจากหน้าร้านเอาไปให้เค้าปลอกเปลือกด้านบนออกแล้วเอาไปเสียบเข้ากับเครื่องปั่น เจ้าเครื่องปั่นนี้จะปั่นเนื้อให้กลายเป็นน้ำ เวลาดูดกินจะได้ทั้งเนื้อและน้ำ เรียกได้ว่าสดทั้งลูกจริงๆ



ISE KADOYA BEER
อิเสะคาโดย่าเบียร์ ร้านนี้เสิร์ฟเบียร์ท้องถิ่นของเมืองอิเสะที่ได้รับรางวัลจากการประกวดคราฟเบียร์ที่มีชื่อเสียงระดับโลก ที่สำคัญร้านนี้ยังมีหอยนางรมจากหมู่บ้านอุระมูระในเมืองโทบะให้ทานคู่กับเบียร์ด้วย อย่างที่เกรินนำไปตั้งแต่ช่วงต้นบทความว่าหอยนางรมในจังหวัดมิเอะถือเป็นหอยนางรมที่มีคุณภาพดีติดอันดับ 1 ใน 3 ของประเทศญี่ปุ่น ลองดื่มเบียร์พร้อมกับกินหอยนางรมทั้งแบบทอดและแบบย่าง จะได้รับรู้รสชาติความอร่อยของหอยนางรมและเบียร์สดได้เป็นอย่างดี



TOFU-AN YAMANAKA
ร้านต่อไปคือร้านโทฟูอัน ยามานากะ เป็นร้านเก่าแก่เปิดกิจการมานานหลายปี จำหน่ายผลิตภัณฑ์ที่ทำมาจากเต้าหู้ อย่างเช่นไอศครีมซอฟเสิร์ฟรสเข้มข้น มีส่วนผสมของเต้าหู้มากกว่า 50% และอีกอย่างที่อยากให้ลองชิมกันคือโดนัทเต้าหู้ ทำมาจากกากถั่วเหลืองที่ได้มาจากการทำเต้าหู้ จะได้รสสัมผัสที่ดี เนียนนุ่มลิ้น ลองชิมกันได้ครับ



OISEYA HONPO
มาถึงจังหวัดมิเอะทั้งทีสำหรับคนที่ชอบทานเนื้อวัวต้องลองเนื้อวัววากิวจากเมืองมัสสึซากะซึ่งเป็นเนื้อวัวที่ขึ้นชื่อในแถบนี้ ร้านโออิเซยะฮอนโป มีขายเนื้อวัวเสียบไม้ย่างหรือที่เรียกว่า "กิวคุชิ" ผมเองไม่ทานเนื้อวัวเลยต้องขอข้ามไป แต่สำหรับคนที่ทานเค้าบอกเลยว่ามันอร่อยมาก เนื้อนุ่มแทบจะละลายในปาก นอกจากนี้ทางร้านยังมีซาลาเปาไส้เนื้อวัวขายด้วย



ISUZUGAWA CAFE
เดินผ่านร้านอร่อยมาหลายร้านละ คราวนี้มาหาที่นั่งจิบกาแฟชิวๆกันบ้าง อิสึสึกาวะคาเฟ่ เป็นร้านที่ซ่อนตัวอยู่ในซอยจากถนนสายหลัก เมื่อเดินลึกเข้าไปจะพบกับคาเฟ่บ้านโบราณอยู่ติดกับแม่น้ำอิสึสึกาวะ ร้านนี้เค้ามีขนมเค้กขายด้วย เราเข้ามาดื่มกาแฟกินเค้กนั่งชมบรรยากาศสายน้ำที่ไหลเอื่อยๆ เป็นการผ่อนคลายพักขาจากความเมื่อยล้าที่เดินทางมาทั้งวัน





AKAFUKU HONTEN
ร้านต่อไปเป็นร้านเก่าแก่อีกร้านของถนนสายนี้ ร้านนี้ต้องแวะชิมไม่งั้นเหมือนมาไม่ถึง ร้านอะกะฟูกุโฮเทน ร้านนี้อยู่ตรงข้ามกับปากทางเข้าตรอกโอกาเกะ(Okage Yokocho) จะขายขนมหวาน เป็นถั่วแดงสอดไส้โมจิเสิร์ฟคู่กับชาบันจะ รสชาติของถั่วแดงบดละเอียดกับโมจิมันเข้ากันได้ดีมาก เมื่อทานคู่กับชาบันจะมันจะช่วยดับความหวานทำให้รสชาติกลมกล่อม ในช่วงหน้าร้อนทางร้านมีเมนูน้ำแข็งไสชาเขียวทานคู่กับถั่วแดงขายด้วย ภายในร้านจะเป็นพื้นเสื่อให้นั่งบนพื้นได้บรรยากาศแบบญี่ปุ่นดี





BUTASUTE CROQUETES
ร้านสุดท้ายที่จะแนะนำคือร้านบูตะสุเตะครอกเก้ ร้านนี้ซ่อนตัวอยู่ในตรอกโอกาเกะ จะขายเนื้อสัตว์แต่มีเมนูเด็ด take away ด้วยคือ "ครอกเก้" ซึ่งเป็นมันฝรั่งผสมกับเนื้อหมูบดและผัดต่างๆปั้นเป็นก้อน นำไปชุปเกล็ดขนมปังแล้วเอาไปทอด มีกลิ่นหอม กรอบนอกนุ่มใน อีกอย่างนึงที่หน้าตาคล้ายกันเรียกว่า "มินจิคัตสึ" จะเป็นหมูบดล้วนปั้นเป็นก้อนกลมๆชุปเกล็ดขนมปังแล้วนำไปทอดกินคู่กับซอสข้นรสเปรี้ยวหวาน รสชาติคล้ายกับหมูทอดทงคัตสึ อีกเมนูนึงที่เห็นคนสั่งกินกันในร้านคือข้าวหน้าเนื้อกิวด้ง หน้าตาน่ากินมาก คนชอบกินเนื้อวัวน่าจะชอบเมนูนี้




OKAGE YOKOCHO
ตรอกโอกาเกะ(Okage Yokocho) เป็นส่วนหนึ่งบนถนนโอฮาไรมาชิ(Oharaimachi) ถ้าเราเดินมาจากศาลเจ้า Naiku ตรอกโอกาเกะจะอยู่ทางซ้ายมือ เป็นกลุ่มอาคารบ้านเก่า แปรสภาพมาเป็นร้านค้าขายของ สังเกตุง่ายๆตรงพื้นที่หน้าทางเข้าจะมีรูปปั้นแมวกวักยืนต้อนรับอยู่




ไฮไลท์สำคัญของตรอกโอกาเกะแห่งนี้คือ ภายในพื้นที่บริเวณนี้จะเต็มไปด้วยประชากรแมวกวัก มีป้ายตั้งไว้บอกตำแหน่งของแมวโชคลาภที่มีลักษณะพิเศษทั้ง 14 ตัว บางตัวแฝงตัวอยู่ในร้านค้า บางตัวก็ตั้งอยู่ด้านนอก ก็ลองเดินหากันดูนะครับ ผมเองก็เก็บได้ไม่ครบเพราะช่วงที่มาเดินในแถบนี้เป็นช่วงเย็นแล้ว บางร้านค้าก็เริ่มทะยอยปิดร้าน ร้านค้าในแถบนี้ค่อนข้างปิดกันเร็ว สักประมาณ 5-6 โมงเย็นก็เริ่มปิดกันแล้ว เพราะฉะนั้นเผื่อเวลากันให้ดีๆ ไหว้พระแป็บนึงแล้วรีบมาเดินช๊อปปิ้งตามสูตรนะครับ 555




เดินเข้ามาในพื้นที่ด้านในจะเจอกับร้านนี้ มีแมวกวักขายอยู่เต็มไปหมด ร้านนี้เค้าจะมีโมเดลแมวพิเศษทั้ง 14 ตัวขนาดจิ๋วขายอยู่ด้วย จริงๆภายในร้านเค้าห้ามถ่ายรูป แต่ไม่ทันละ นิ้วลั่นไปซะก่อนที่จะสังเกตุเห็นป้ายห้ามถ่ายรูป



อีกจุดที่น่าสนใจในตรอกโอกาเกะคือ จะมีศาลเจ้าแมวกวักให้มาขอพรกัน เป็นศาลเจ้าเล็กๆซ่อนตัวอยู่ในซอยเล็กๆใกล้กับร้านที่ขายแมวกวักเยอะๆ น่าจะไม่ค่อยมีคนรู้เพราะเป็นซอยเล็กๆเงียบๆ ไม่ค่อยมีคนเดินเข้ามาเลย



จากถนน Oharaimachi ลองดูเวลากันนะครับ ถ้ายังพอจะมีเวลาก็ไปเที่ยวต่อที่ศาลเจ้าชั้นนอก(Geku) ศาลเจ้าจะปิดประมาณหกโมงเย็น ก็เดินกลับไปนั่งรถบัสที่ป้ายเดิม(Naiku mae) รอรถที่ป้ายหมายเลข 2 นั่งไปลงที่ป้าย Geku mae


ISE GEKU SHRINE
รถบัสวิ่งไปไม่ไกลก็มาจอดที่ป้าย Geku mae ใกล้กับทางเข้าศาลเจ้า พอเดินเข้ามาบริเวณพื้นที่ด้านในจะเจอสะพานข้ามแม่น้ำเล็กๆ ชื่อสะพาน Hiyokebashi ข้ามสะพานไปแล้วจะเจอบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ให้เราล้างมือบ้วนปาก ชำระร่างกายให้สะอาดเหมือนกันศาลเจ้าทั่วไป



เดินมาสักพักนึงก็จะถึงลานด้านหน้าอาคารหลัก จะเจอจุด Power Spot หรือจุดรับพลัง ลักษณะเป็นกองหินมีการล้อมรั้วไว้ ผู้คนมักจะไปยืนแล้วยื่นมือออกไปรับพลังกัน


Ise Geku Shrine ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อให้เป็นที่สถิตย์ของเทพเจ้า Toyouke ซึ่งเป็นเทพเจ้าที่อำนวยพรในด้านการเกษตร ที่อยู่อาศัยและเสื้อผ้าอาภรณ์ เราสามารถมาขอพรในเรื่องของความอุดมสมบูรณ์มีกินมีใช้ ภายในอาคารหลักก็ไม่อนุญาติให้ถ่ายรูป

เสร็จจากศาลเจ้า Geku ก็คงจะเกือบหัวค่ำแล้ว ถึงเวลาเดินทางกลับ จากตรงนี้สามารถเดินกลับไปที่สถานี Iseshi Sta.ได้เลย เดินไปก็ประมาณ 10 นาที พอถึงสถานีรถไฟ Iseshi Sta. ก็นั่งรถไฟขบวน Kintesu Ltd. Exp. จากสถานี Iseshi Sta. ไปลงที่ Tsurubashi Sta. ในโอซาก้า ใช้เวลา 106 นาที

สำหรับผมยังไม่จบทริปในวันนี้ แพลนว่าจะไปดูงานแสดงไฟ Nabana No Sato Winter Illumination ที่อยู่อีกเมืองนึงไม่ไกลกัน นั่งรถไฟไปประมาณชั่วโมงเศษๆ(อ่านรีวิวได้ที่นี่: Nabana No Sato Winter Illumination) ก็หวังว่า 1 วันในจังหวัดมิเอะจะทำให้ทุกท่านประทับใจไม่มากก็น้อยนะครับ ขอให้มีความสุขกับการเดินทางครับ

ปล.ชื่นชอบบทความ ช่วยกดไลท์กดแชร์ Facebook Fan Page ด้านล่างสุด จักขอบพระคุณเป็นอย่างยิ่งครับ

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

แนะนำโรงแรมโดนๆ: Urashima Hotel  โรงแรมที่ใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่นกับสุดยอดออนเซน!! วันนี้มารีวิวโรงแรมที่ได้ชื่อว่าเป็นโรงแรมใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่น มีชื่อว่า Urashima Hotel ตั้งอยู่ในจังหวัดวากายาม่า (Wakayama) เมืองคิอิคัทสึอูระ (Kiikatsuura) เมืองนี้เป็นแหล่งจับปลาทูน่าได้มากที่สุดของญี่ปุ่นด้วย โรงแรมแห่งนี้ตั้งอยู่เกาะ ประมาณว่าเกาะทั้งเกาะเป็นของเค้า พื้นที่หลักๆแบ่งออกเป็นสองส่วน ส่วนแรกตั้งอยู่เชิงเขาด้านหน้าเกาะ ซึ่งเป็นส่วนของเคาน์เตอร์ reception และห้องพักบางส่วน ส่วนพื้นที่ที่สองจะตั้งอยู่บนเขาซึ่งเป็นส่วนของห้องพักในระดับราคาที่แพงขึ้นไป มีจุดชมวิว รวมไปถึงออนเซนในบรรยากาศสุดยอด ไฮไลท์ของโรงแรมคือบ่อออนเซนทั้ง 6 บ่อในบรรยากาศออนเซนที่อยู่ในถ้ำริมหน้าผาติดทะเล จะสวยงามอย่างไรตามมาชมเลยครับ เนื่องจากตัวโรงแรมตั้งอยู่บนเกาะที่แยกตัวออกไป การเดินไปโรงแรมเราต้องนั่งเรือข้ามไป ซึ่งทางโรงแรมก็มีบริการเรือรับส่งให้กับนักท่องเที่ยวฟรี รอสักพักเรือของโรงแรมก็มา จากท่าเรือมองเห็นโรงแรมอยู่ไกลๆ นั่งเรือไปประมาณ 10 นาทีก็ถึง เข้ามาถึงโรงแรมก็จะเจอเคาน์เตอร์ Check in ก่อน หลั
ร้านอร่อย NAGOYA : พากิน ประชัดความอร่อย!! วันนี้จะพามากินเมนูเด่นเมนูดังในเมืองนาโกย่า ซึ่งทั้งสองเมนูนี้ก็มีจุดกำเนิดอยู่ที่เมืองนี้ ร้านแรกที่จะพาไปกินคือร้านข้าวหน้าหมูทอด yabaton เมนูเหมือนจะธรรมดาแต่มันไม่ธรรมดา ความพิเศษของข้าวหน้าหมูทอดร้านนี้คือเจ้าตัวซอสมิโซะที่ใช้ราดบนหมูทอด แตกต่างจากร้านทงคัตสึทั่วไปที่จะกินกับซอสวูสเตอร์(ซอสรสเปรี้ยวอมหวาน) ซึ่งเจ้าซอสมิโซะก็มีถิ่นกำเนิดอยู่ที่เมืองนาโงย่านี่แหละ อีกเมนูนึงที่จะพาไปกินคือข้าวหน้าปลาไหล Horaiken ร้านนี้เป็นต้นกำเนิดเมนูข้าวหน้าปลาไหลเลยนะ ก่อนที่มันจะได้รับความนิยมแพร่หลายไปทั่วญี่ปุ่น สำหรับผมต้องยกให้เป็นเบอร์หนึ่งในเรื่องข้าวหน้าปลาไหลที่อร่อยที่สุดในญี่ปุ่นเลย วันนี้พาไปกินร้านดังทั้งสองร้านของเมืองนาโงย่า ส่วนร้านไหนอร่อยกว่ากันให้ทุกท่านเป็นผู้ตัดสินเองนะครับ^^ YABATON  ข้าวหน้าหมูทอด เริ่มที่ข้าวหน้าหมูทอด Yabaton ก่อน ร้านนี้จริงๆมีสาขาอยู่ทั่วเมืองนาโงย่า ประมาณว่าเดินไปตรงไหนก็เจอ แต่เราจะพามาที่สาขาตรงสถานีรถไฟ JR Nagoya หาง่ายหน่อย พอมาถึงสถานีรถไฟ JR Nagoya แล้วให้เดินออกทางด้านหลัง ตรงทางออก Taiko-do
แนะนำโรงแรมโดนๆ: SARUGAKYO โรงแรมเต้าหู้ ชื่ออาจจะฟังดูแปลกๆ ที่เรียกว่าโรงแรมเต้าหู้เพราะมีโรงงานทำเต้าหู้เล็กๆอยู่ภายในโรงแรม ที่สำคัญเค้าสามารถนำเอาผลิตภัณฑ์จากเต้าหู้ที่ทำเองมารังสรรค์เป็นเมนูหลากหลายให้แขกที่มาพักในโรงแรมได้ทานกันทั้งอาหารเช้าและอาหารเย็น ขอบอกเลยว่าอร่อยมาก ไม่คิดว่าเต้าหู้จะสามารถนำมาทำเป็นอาหารทั้งคาวหวานได้หลากหลายแบบนี้ ตามมาดูกันเลย Sarugakyo (อ่านว่า: ซารุกาเคียว) เป็นโรงแรมที่ตั้งอยู่ในจังหวัดกุนมะ(Gunma) ในเมืองมินาคามิ (Minakami) ซึ่งเป็นแหล่งน้ำพุร้อนที่มีชื่อเสียงของญี่ปุ่น ห่างจากกรุงโตเกียวประมาณหนึ่งชั่วโมงครึ่ง โรงแรมแห่งนี้ตั้งอยู่ในพื้นที่อุทยานแห่งชาติโจชินเอะสึโคเก็น ติดกับทะเลสาบอะคายะ อีกฟากของโรงแรมจะเป็นเทือกเขาทานิกาว่า มีทัศนียภาพสวยงามตลอดทั้งปี บริเวณล๊อปบี้ของโรงแรมสามารถมองเห็นวิวทะเลสาบอะคายะได้อย่างชัดเจน โรงแรมแห่งนี้มีห้องพักทั้งหมด 52 ห้อง มีตั้งแต่ห้องพักสไตล์ญี่ปุ่น และห้องพักที่เป็นสไตล์ญี่ปุ่นผสมตะวันตก มาดูโรงงานเต้าหู้ภายในโรงแรมกันบ้าง โรงงานจะเป็นอาคารชั้นเดียวแยกออกมาต่างหากจากอาคารที่พัก ตั้งอยู่ชั้นล่
ทริป 1 วัน จาก Tokyo สู่ Shizuoka พอพูดถึงการมาเที่ยวชมความงดงามของภูเขาไฟฟูจิ หลายคนจะนึกถึงเมือง Kawaguchiko ในจังหวัด Yamanashi จริงๆแล้วภูเขาไฟฟูจิมีพื้นที่ติดกับสองจังหวัดในญี่ปุ่น อีกจังหวัดที่กล่าวถึงคือจังหวัด Shizuoka ซึ่งจะมีทัศนียภาพของภูเขาไฟฟูจิที่งดงามแตกต่างกันออกไป การมาเที่ยวชมภูเขาไฟฟูจิในจังหวัดชิซูโอกะ เราจะได้พบกับทัศนียภาพของภูเขาไฟฟูจิกับไร่ชาเขียวซึ่งมีความสวยงามไปอีกแบบ รายละเอียดโปรแกรมการเที่ยว เริ่มจากนั่งรถไฟจากโตเกียวมาลงที่สถานี Shizuoka Sta. ต่อรถบัสมาเที่ยวแถบ Nihondaira แวะถ่ายรูปที่จุดชมวิว (1)Nihondaira Hill สัมผัสกรรมวิธีการเก็บใบชาที่ (2)Nihondaira Tea Hall ถ่ายรูปไร่ชาโดยมีภูเขาไฟฟูจิเป็นฉากหลัง ตลอดจนแวะซื้อผลิตภัณฑ์ชาเขียวได้ที่ร้านขายชาในสวน จากนั้นเดินกลับมาขึ้นกระเช้าไปเที่ยวบนเขา Mt.Kuno ซึ่งเป็นที่ตั้งของศาลเจ้า (3)Kunosan Toshogu ชมสถาปัตยกรรมที่งดงามและสักการะบูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ จากนั้นนั่งกระเช้ากลับลงมาต่อรถบัสกลับเข้าไปเดินเล่นในเมือง เดินเล่นช็อปปิ้งที่ถนน (4)Gofukucho Dori แวะทานทาร์ตผลไม้ร้านดัง (5)Qu'il Fait Bon
ทริป 1 วัน จาก Osaka สู่ Wakayama ปราสาทสวย รวยของอร่อย ต้องที่นี่!! จังหวัดวากายาม่าตั้งอยู่ในพื้นที่ใต้สุดของภูมิภาคคันไซ มีพื้นที่ชายฝั่งติดทะลและมีเมืองหลวงชื่อวากายาม่า ชื่อเดียวกับจังหวัด อยู่ห่างจากโอซาก้าประมาณ 1 ชั่วโมงโดยรถไฟ มีสถานที่ที่น่าสนใจอยู่หลายแห่ง วันนี้เราจัดทริปเลือกเอาสถานที่ที่น่าสนใจในเมืองวากายาม่า ให้สามารถเที่ยวได้จบภายในหนึ่งวัน ลองมาดูกันว่ามีที่ไหนที่น่าสนใจบ้าง ทริปนี้เราเที่ยวกันอยู่ในเมืองวากายามา เริ่มจากนั่งรถบัสไปเที่ยวที่ (1) Wakayama Marina City ศูนย์รวมแหล่งท่องเที่ยวที่มีทั้งตลาดปลา Kuroshio สวนสนุก Porto Europa และตลาดผลไม้ กินอาหารกลางวันบาบีคิวปิ้งย่างในบรรยากาศตลาดสดติดริมทะเล จากนั้นนั่งรถบัสเดินทางไปเที่ยวต่อที่ (2) Wakayama Castle ที่มีสวนและธรรมชาติโดยรอบที่สวยงาม หามุมถ่ายรูปสะพานไม้โบราณที่มีตัวปราสาทวากายาม่าเป็นฉากหลัง จากนั้นแวะกินราเมงก่อนกลับที่ร้าน (3) Ide Shoten Ramen ราเมงที่ชนะที่ 1 ในรายการทีวีแชมเปี้ยน ร้านดังประจำจังหวัด จบทริปเดินทางกลับโอซาก้า ขอเริ่มที่สถานี JR-Namba Sta. ในเมือง Osaka นั่งขบวนรถไฟ JR Yamatoji
เลิกงงซะที ในสถานีรถไฟญี่ปุ่น!! หลายคนมาเที่ยวญี่ปุ่นก็คงหนีไม่พ้นต้องใช้รถไฟในการเดินทางเป็นหลัก เพราะมันสะดวกและไปได้ทั่วถึงทุกที่ สำหรับนักท่องเที่ยวมือใหม่คงจะงงกับระบบรถไฟของญี่ปุ่น ไม่ใช่เฉพาะแค่มือใหม่หัดเที่ยว ขนาดมือเก่าที่เคยมาเที่ยวญี่ปุ่นบ้างแล้วบางคนยังมีอาการมึนงง นั้นเป็นเพราะมันมีรถไฟหลายประเภทหลายสายมากๆ แค่ยืนดูแผนผังรถไฟก็งงแล้ว วันนี้เรามาบอกวิธีการสังเกตง่ายๆในการทำความเข้าใจระบบรถไฟของญี่ปุ่น เพื่อจะขึ้นรถไฟแล้วไม่งงไม่หลงอีกต่อไป ทำความรู้จักกับประเภทของรถไฟต่างๆในญี่ปุ่นกันก่อน ถ้าจะให้แบ่งประเภทรถไฟในญี่ปุ่นก็อาจจะแบ่งได้หลักๆเป็น 3 ประเภท 1. รถไฟ JR 2. รถไฟความเร็วสูง(Shinkansen) 3. รถไฟใต้ดิน(Subway) ที่ต้องการแบ่งให้เห็นชัดเจนอย่างนี้เพราะรถไฟแต่ละประเภทจะมีชานชาลา(Track)และมีรางวิ่งเป็นของตัวเอง ยกตัวอย่าง เช่นถ้าคุณต้องการเดินทางด้วยรถไฟความเร็วสูง(Shinkansen) คุณก็ต้องเดินไปขึ้นที่ชานชาลาเฉพาะของรถไฟ Shinkansen นั้นเอง เรามาลองทำความรู้จักรถไฟแต่ละประเภทให้มากขึ้น รถไฟ JR เป็นเครือข่ายรถไฟที่วิ่งอยู่ทั่วประเทศ ทั้งวิ่งในตัวเมืองและวิ่งข้าม
ทริป 1 วัน จาก Tokyo สู่ Kanagawa: เที่ยว 2 สถานศักดิ์สิทธิแห่งเมืองคามาคุระ  ตามหาเทพมังกรบนเกาะเอ็นโนชิมะ   โปรแกรมนี้ค่อนข้างแน่นถ้าจะเก็บให้ครบต้องออกแต่เช้า จบทริปก็สักประมาณหัวค่ำ ทริปนี้เริ่มจากเดินทางถึงสถานีรถไฟ  Hase Sta. เดินไปขอพรเจ้าแม่กวนอิมที่วัด (1) Hasedera Temple หลังจากนั้นเดินต่อไปสักการะบูชาพระใหญ่ไดบุสึที่วัด (2) Kotoku-in Temple จากนั้นเดินทางต่อไปที่เกาะ (3) Enoshima Island ใช้เวลาเที่ยวบนเกาะประมาณ 3 -4 ชั่วโมง เหตุผลที่ให้เที่ยวเกาะ Enoshima เป็นที่สุดท้ายเพราะในเวลาตอนเย็นช่วงพลบค่ำบนเกาะจะเปิดไฟสวยงาม จะได้ชมบรรยากาศไปอีกแบบนึง จบทริปก็เดินทางกลับ Tokyo ENOSHIMA KAMAKURA FREE PASS การเดินทางในทริปนี้แนะนำให้ซื้อ Enoshima Kamakura Freepass 1 day เป็นพาสใช้เดินทางไปตามเมืองต่างๆ ในจังหวัด Kanagawa ภายใน 1 วัน ราคา 1,470 เยน ซึ่งจะประหยัดกว่าแยกจ่ายค่ารถไฟเป็นเที่ยวๆ (ในกรณีที่มี JR Pass ไม่ต้องซื้อพาสนี้ก็ได้ แต่ก็ต้องจ่ายค่ารถไฟบางขบวนอยู่ดี) ส่วนสถานที่จำหน่ายตั๋วก็สามารถซื้อได้จากตัวแทนจำหน่ายในบ้านเราได้เลย หรือจะซื้อจากตู้จำหน่ายตั๋วในสถ
ทริป 1 วัน จาก Osaka สู่ Hyogo ตอน: เช้าไปเย็นกลับที่ Arima Onsen ทริปนี้เรามาเที่ยวกันที่จังหวัดเฮียวโกะ จังหวัดนี้มีอะไรดัง? ถ้าพูดถึงเมืองโกเบคนส่วนใหญ่คงรู้จักดี โกเบก็เป็นเมืองที่อยู่ในจังหวัดเฮียวโกะ แต่วันนี้เราจะพาไปเที่ยวเมืองออนเซนชื่อดังที่อยู่อีกฝั่งนึงของเมืองโกเบ อาริมะออนเซนเป็นเมืองออนเซนที่มีชื่อเสียง มีน้ำแร่คุณภาพดีที่สุดติดอับดับ 1 ใน 3 ของญี่ปุ่น สามารถเดินทางมาจากโอซาก้า เที่ยวแบบเช้าไปเย็นกลับได้ นอกจากนั้นในช่วงเย็นๆ เราพาขึ้นเขาไปดูวิวกลางคืนของอ่าวโกเบที่ได้ฉายาว่า The Million Dollar Night View ทริปนี้จะฟินขนาดไหน ตามมาครับ HANKYU HIGHWAY BUS เราเลือกใช้วิธีการเดินทางจากโอซาก้าโดยรถบัสของ Hankyu Highway Bus น่าจะเป็นวิธีการเดินทางที่ง่ายที่สุด ถ้านั่งรถไฟมันต้องนั่งกันหลายต่อ เรามาขึ้นรถบัสที่ Hankyu Sanban Gai ใต้สถานีรถไฟใต้ดิน Hankyu Umeda Sta.(Subway) รถบัสที่วิ่งไปกลับระหว่างโอซาก้ากับอาริมะออนเซนจะมีอยู่ด้วยกัน 3 สาย นั่งไปได้ทั้ง 3 สาย ต่างกันที่จะมีบางสายวิ่งตรง บางสายแวะบางจุดก่อน จากภาพด้านล่าง -สายสีแดง(Express) จะแวะที่สถานีรถไ
ทริป 1 วัน จาก Tokyo สู่ Chiba เสน่ห์ 2 เมืองเก่าในจังหวัดชิบะ ตามรอยละครดัง ทริปนี้โปรแกรมไม่แน่น มีเวลาให้เดินเล่นชมเมืองสบายๆในเขตเมืองเก่าทั้ง 2 เมืองในจังหวะดชิบะซึ่งอยู่ไม่ไกลกัน ส่วนที่พาดหัวไว้ว่า "ตามรอยละครดัง" เพราะว่ามีหนังญี่ปุ่นหลายต่อหลายเรื่อง รวมไปถึงละครไทยเรื่อง "รอยรักหักเหลี่ยมตะวัน" และหนังไทยเรื่อง "ฟัด จัง โตะ" ก็ใช้โลเคชั่นของวัดนาริตะซันกับเมื่องโบราณซาวาระเป็นที่ถ่ายทำด้วย การเดินทางสู่เมืองนาริตะเริ่มจากสถานีรถไฟ Tokyo Sta. นั่งรถไฟสาย JR Sobu Line Rapid Service ถึงสถานี Narita Sta. ใช้เวลาเดินทาง 73 นาที (จริงๆมีขบวนอื่นสามารถเดินทางมาถึงได้เหมือนกัน แต่ขบวนนี้ง่ายที่สุดแล้ว) รถไฟจะแวะจอดที่สถานี Chiba Sta. ไม่ต้องลง นั่งต่อไปเลยจนถึงสถานี Narita Sta. รถไฟขบวนนี้จะมีทุกๆชั่วโมง ถึงเมืองนาริตะ เที่ยววัดดังประจำจังหวัด Naritasan Shinshoji ตลอดเส้นทางสู่วัดนาริตะซังจะผ่านถนนสายการค้า Omotesando ซึ่งสองข้างทางเต็มไปด้วยร้านค้าขายของที่ระลึก สินค้าพื้นเมือง และร้านอาหารยาวเป็นระยะทางกว่า 1 กิโลเมตร ระหว่างทางท่านจะพบ