ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

เลิกงงซะที ในสถานีรถไฟญี่ปุ่น!!
หลายคนมาเที่ยวญี่ปุ่นก็คงหนีไม่พ้นต้องใช้รถไฟในการเดินทางเป็นหลัก เพราะมันสะดวกและไปได้ทั่วถึงทุกที่ สำหรับนักท่องเที่ยวมือใหม่คงจะงงกับระบบรถไฟของญี่ปุ่น ไม่ใช่เฉพาะแค่มือใหม่หัดเที่ยว ขนาดมือเก่าที่เคยมาเที่ยวญี่ปุ่นบ้างแล้วบางคนยังมีอาการมึนงง นั้นเป็นเพราะมันมีรถไฟหลายประเภทหลายสายมากๆ แค่ยืนดูแผนผังรถไฟก็งงแล้ว วันนี้เรามาบอกวิธีการสังเกตง่ายๆในการทำความเข้าใจระบบรถไฟของญี่ปุ่น เพื่อจะขึ้นรถไฟแล้วไม่งงไม่หลงอีกต่อไป

ทำความรู้จักกับประเภทของรถไฟต่างๆในญี่ปุ่นกันก่อน
ถ้าจะให้แบ่งประเภทรถไฟในญี่ปุ่นก็อาจจะแบ่งได้หลักๆเป็น 3 ประเภท
1. รถไฟ JR
2. รถไฟความเร็วสูง(Shinkansen)
3. รถไฟใต้ดิน(Subway)

ที่ต้องการแบ่งให้เห็นชัดเจนอย่างนี้เพราะรถไฟแต่ละประเภทจะมีชานชาลา(Track)และมีรางวิ่งเป็นของตัวเอง ยกตัวอย่าง เช่นถ้าคุณต้องการเดินทางด้วยรถไฟความเร็วสูง(Shinkansen) คุณก็ต้องเดินไปขึ้นที่ชานชาลาเฉพาะของรถไฟ Shinkansen นั้นเอง

เรามาลองทำความรู้จักรถไฟแต่ละประเภทให้มากขึ้น
รถไฟ JR
เป็นเครือข่ายรถไฟที่วิ่งอยู่ทั่วประเทศ ทั้งวิ่งในตัวเมืองและวิ่งข้ามจังหวัด ถ้าเราใช้โปรแกรม Hyperdia หารอบรถไฟ ขบวนที่มีรูปรถไฟสีเขียวนั้นแหละคือรถไฟของ JR ทุกจังหวัดแทบจะทุกเมืองมีสถานีของ JR แทบทั้งสิ้น เป็นเครือข่ายรถไฟที่ใหญ่ที่สุดในญีุ่ปุ่น เหมาะสำหรับนักท่องเที่ยวใช้เดินทางท่องเที่ยวไปทั่วประเทศญี่ปุ่น
ตัวอย่างขบวนรถไฟเครือข่ายของ JR ในโปรแกรม Hyperdia

ตัวอย่างทางเข้าออกชานชาลาของรถไฟ JR

รถไฟความเร็วสูง (Shinkansen)
มีเครือข่ายรถไฟครอบคลุมแทบจะทุกภูมิภาคของญี่ปุ่น(ยกเว้นภูมิภาคชิโกกุ) รถไฟประเภทนี้ใช้สำหรับเดินทางข้ามจังหวัดข้ามภูมิภาคซึ่งจะช่วยย่นระยะเวลาในการเดินทาง โดยปกติชานชาลาของ Shinkansen จะอยู่ในอาคารเดียวกันกับสถานีรถไฟ JR เวลาเดินเข้าไปในสถานีรถไฟ JR ให้สังเกตป้ายสัญลักษณ์บอกทางเดินไปยังชานชาลาของ Shinkansen ตามรูปด้านล่าง ในบางสถานีสัญลักษณ์รูปรถไฟอาจจะแตกต่างกันไป แต่ก็จะมีคำว่า "Shinkansen" เขียนกำกับไว้
ตัวอย่างป้ายแสดงสัญลักษณ์บอกทางไปชานชาลาของรถไฟ Shinkansen

ตัวอย่างทางเข้าออกชานชาลาของรถไฟ Shinkansen

รถไฟใต้ดิน (Subway)
เป็นระบบเครือข่ายรถไฟที่วิ่งอยู่เฉพาะในเมืองใหญ่ เช่น โตเกียว โอซาก้า ฟูกูโอกะ ฮอกไกโด เกียวโต เป็นต้น โดยเฉพาะโตเกียวและโอซาก้าจะมีเครือข่ายรถไฟใต้ดินหลายสายค่อนข้างซับซ้อน แต่ละสายจะแทนด้วยเส้นสีและมีชื่อเฉพาะ
ตัวอย่างแผนผังเครือข่ายรถไฟใต้ดินในโตเกียว

ชานชาลาของรถใต้ดินหรือที่เรียกว่า Subway ในบางสถานีใหญ่ๆของ JR ก็จะมีทางเดินต่อเนื่องให้เดินลงไปถึง Subway ได้เลย เพื่อความสะดวกในการเปลี่ยนขบวนรถไฟไปยังจุดหมายปลายทางที่ต้องการ โดยให้สังเกตุป้ายสัญลักษณ์ที่เขียนว่า "Subway" หรือบางที่ก็จะแสดงเส้นสีและชื่อขบวนรถไฟ Subway ที่วิ่งผ่านและเชื่อมต่อกับสถานีรถไฟ JR นั้นๆ(เราอาจจะต้องเดินออกมาจากพื้นที่ของ JR ก่อนจึงจะเริ่มมีป้ายสัญลักษณ์ของ Subway ให้เราสังเกต)
ตัวอย่างสถานีรถไฟ JR ที่มีทางเชื่อมไปยังชานชาลาของ Subway อยู่ภายในอาคาร

ตัวอย่างของสัญลักษณ์ขบวนรถไฟ Subway มีลักษณะเป็นวงกลมสีๆและมีชื่อขบวนกำกับ

ในกรณีที่ต้องการเปลี่ยนขบวนรถไฟจากรถไฟของ JR ไปขึ้นรถไฟใต้ดิน Subway ถ้าภายในสถานีรถไฟ JR ไม่มีทางเดินเชื่อมต่อไปยัง Subway ลองเดินออกมานอกอาคารด้านหน้าสถานี โดยปกติก็จะมีทางเดินลงไปยังชานชาลาของ Subway นอกจากนี้เรายังสามารถเห็นทางเข้าออกสถานีรถไฟ Subway ตั้งอยู่ตามถนนหนทางทั่วไปอย่างในภาพด้านล่าง
ตัวอย่างทางเข้าออก Subway ที่อยู่นอกอาคารสถานี JR

ถ้าเราใช้โปรแกรม Hyperdia หารอบขบวนรถไฟ ขบวนรถไฟของ Subway จะเป็นรูปรถไฟสีแดง (แต่ไม่ได้หมายความว่ารถไฟสีแดงทุกขบวนเป็น Subway นะ รถไฟสีแดงแค่จะบ่งบอกว่าเป็นรถไฟสายเอกชนรายอื่นๆที่ไม่ใช่เครือข่ายของรถไฟ JR)
ตัวอย่างขบวนรถไฟสีแดงใน Hyperdia ที่เป็นเครือข่ายรถไฟ Subway

วิธีการดูรอบเวลารถไฟ
ป้ายไฟแสดงรอบขบวนรถไฟต่างๆโดยปกติจะมีอยู่ในสถานี JR และ Shinkansen ป้ายไฟแบบนี้บอกอะไรเราบ้าง มาดู!! จากตัวอย่างข้างล่าง
1. บอกชื่อขบวนรถไฟ
2. บอกเวลาที่รถไฟจะออก (ไม่ใช่เวลาที่รถไฟมาถึงนะ เข้าใจให้ถูกเดี๋ยวตกรถไฟ)
3. บอกสถานีปลายทาง
4. บอกหมายเลขชานชาลา ว่าขบวนดังกล่าวถ้าจะขึ้นต้องไปขึ้นที่ชานชาลาเบอร์นี้
5. บอกให้เรารู้ว่าในรถไฟขบวนนี้มีโบกี้ไหนบ้างที่ไม่ต้องสำรองที่นั่ง
การที่เราจะรู้ว่าเราควรจะนั่งขบวนไหน เราควรจะต้องค้นหาขบวนรถไฟและรอบเวลาจากโปรแกรม Hyperdia มาก่อน เมื่อเราทราบชื่อขบวนและรอบเวลาแล้ว เมื่อถึงสถานีรถไฟให้เราดูเปรียบเทียบกับป้ายไฟบอกเวลาที่สถานีอีกทีเพื่อจะได้รู้ว่าจะต้องเดินไปที่ชานชาลาหมายเลขอะไร ภาพข้างล่างเป็นการเทียบให้เห็นวิธีการดูรอบและขบวนรถไฟระหว่างโปรแกรม Hyperdia กับป้ายไฟที่สถานี

ในบางครั้งที่เราหาขบวนรถไฟและรอบเวลาในโปรแกรม Hyperdia มันจะแสดงหมายเลขชานชาลาให้เรารู้เลยว่าถ้าเราจะขึ้นขบวนนี้ต้องไปขึ้นที่ชานชาลาหมายเลขอะไร แต่มันจะไม่เสมอไปทุกครั้ง เพราะในบางครั้งที่เราค้นหามันก็ไม่แสดงขึ้นมาให้เรารู้ นั้นเป็นเพราะทราบแค่ว่ารถไฟขบวนดังกล่าวมาตามเวลาแน่ แต่ยังไม่รู้ว่าจะเข้าจอดในชานชาลาไหนนั้นเอง อย่างไรก็ตามไม่ว่าโปรแกรม Hyperdia มันจะแจ้งหมายเลขชานชาลาให้เรารู้ก่อนหรือไม่ แนะนำให้เช็คเทียบกับป้ายไฟบอกขบวนและเวลาที่สถานีอีกที

อีกกรณีนึงที่คนมักจะพลาดกัน ในเวลาที่นั่งรถไฟมาลงที่สถานีนึงเพื่อเปลี่ยนขบวนไปอีกสถานีนึง มักจะสับสนระหว่างเวลาที่มาถึงกับเวลาที่รถไฟขบวนต่อไปจะออก ดูจากตัวอย่างด้านล่าง เรานั่งรถไฟขบวน Shinkansen toki 317 จากสถานี Tokyo เวลา 10:40น. มาถึงสถานี Echigo-Yuzawa เวลา11:59น. มาเปลี่ยนขบวนรถไฟขบวน JR Joetsu Line for Minakami เวลา 12:13น. เพื่อไปลงที่สถานี Minakami(เห็นมั้ยว่าขบวนนี้ยังไม่มีแจ้งหมายเลขชานชาลาให้เราทราบล่วงหน้า) เวลาเราเดินทางไปถึงสถานี Echigo-Yuzawa แล้วให้เดินออกมาจากชานชาลาของ Shinkansen ก่อน แล้วเดินไปที่ชานชาลาของ JR มองหาป้ายไฟบอกขบวนและเวลาเพื่อดูหมายเลขชานชาลา ในที่นี้คือ ขบวน JR Joetsu Line for Minakami เวลา 12:13น.(อย่าดูเป็นเวลา 11:59น.นะ)

ข้อควรระวัง!! ถ้าจะขึ้นรถไฟ Shinkansen ก็ควรจะเดินเข้าไปในชานชาลาของ Shinkansen ก่อนแล้วค่อยมองหาป้ายไฟบอกขบวนและเวลา เดี๋ยวจะสับสนกันระหว่างชานชาลาของรถไฟ JR กับชานชาลาของ Shinkansen  เช่นชานชาลาหมายเลข 4 ของ JR กับชานชาลาหมายถึง 4 ของ Shinkansen มันคือคนละที่กัน

สำหรับรถไฟใต้ดิน Subway เราไม่ต้องสังเกตุป้ายไฟบอกเวลาเพราะรถไฟจะมาค่อนข้างถี่ รถไฟจะมาทุกๆ 3-5 นาที(เหมือนกับรถไฟฟ้า BTS บ้านเรา) แต่สิ่งที่ต้องทำคือ ขึ้นให้ถูกฝั่ง!!!

วิธีการสังเกตว่าขึ้นรถไฟถูกฝั่งมั้ย
เมื่อมาถึงสถานีรถไฟ Subway สิ่งที่ต้องทำคือสังเกตป้ายบอกทางของขบวนรถไฟที่เราต้องการจะขึ้น มักจะใช้สีแทนขบวนรถไฟแต่ก็จะมีชื่อขบวนรถไฟกำกับไว้ด้วย

พอเดินมาถึงทางที่จะลงไปชานชาลาของขบวนรถไฟสายนั้น โดยปกติมันจะมีทางลงสองทางคือ ทางลงเบอร์ 1 กับทางลงเบอร์ 2 ทีนี้จะลงฝั่งไหนละ? วิธีการคือ ให้สังเกตที่ป้ายบอกสถานีที่รถไฟจะวิ่งผ่าน ซึ่งทางลงทั้งสองฝั่งจะมีให้ดูอยู่
ตัวอย่างป้ายบอกสถานีที่รถไฟจะวิ่งผ่าน ตรงทางลงชานชาลาของรถไฟใต้ดิน Subway

จากตัวอย่างด้านล่าง สมมุติว่าเราอยู่ที่สถานี Umeda เรากำลังจะไปลงที่สถานี Namba ป้ายของทางลงเบอร์ 1 จะมีชื่อสถานี Namba อยู่ สังเกตสัญลักษณ์บอกทิศทางที่รถไฟจะวิ่งไป ซึ่งมันจะวิ่งผ่านสถานีที่เราจะไป เพราะฉะนั้นเราต้องไปขึ้นรถไฟที่ฝั่งทางลงเบอร์ 1 ในทางกลับกันทางลงเบอร์ 2 จะเป็นฝั่งตรงข้าม รถไฟก็จะวิ่งในทิศทางที่สวนกัน

อีกตัวอย่างนึงจากภาพด้านล่าง สมมุติว่าเราอยู่ที่สถานี Namba จะนั่งกลับไปที่สถานี Umeda เราก็จะต้องไปขึ้นรถไฟในฝั่งของป้ายหมายเลข 2

สรุปคือบริเวณทางลงจะมีป้ายบอกชื่อสถานีและทิศทางที่รถไฟจะวิ่งไป ให้ดูว่ารถไฟวิ่งผ่านสถานีที่เราจะไปที่ฝั่งไหนก็ไปขึ้นฝั่งนั้น

สัญลักษณ์ต่างๆบนพื้นชานชาลา
เมื่อเดินไปถึงหมายเลขชานชาลาที่เราต้องการแล้ว ก็รอรถไฟมา แต่บริเวณ ณ จุดนั้นจะมีป้ายบอกรายละเอียดและสัญลักษณ์มากมายที่พื้น มันมีความหมายว่าไงบ้าง? เริ่มจากป้ายไฟก่อนเลย จากตัวอย่างด้านล่าง จะเห็นว่ามันมีหมายเลขชานชาลาสองเบอร์ คือเบอร์ 8 กับเบอร์ 7(เบอร์ 7 ถ่ายรูปมาตกขอบไปหน่อย) ในป้ายไฟมีรถไฟที่จะวิ่งเข้ามาจอดทั้งสองชานชาลาทั้งหมด 4 ขบวน
-แถวบนสุด เป็นขบวน Local วิ่งไปลงที่ Takatsuki รถไฟจะมาจอดในชานชาลาเบอร์ 7(สังเกตุจากลูกศร ชี้ไปทางชานชาลาเบอร์ 7) รถไฟจะมาถึงชานชาลาเบอร์ 7 และออกเวลา 8:47 ส่วนสัญลักษณ์ วงกลม 1 - 7 มันจะเกี่ยวข้องกับสัญลักษณ์ที่อยู่ตรงพื้น(ดูตัวอย่างจากรูปถัดไป) ก็หมายความว่า ให้เราไปยืนรอตรงแถวที่เป็นสัญลักษณ์วงกลม โบกี้หมายเลข 1-7
-แถวที่สอง เป็นขบวน SRAPID(ด่วนพิเศษ) วิ่งไปลงที่ Omi-Imazu รถไฟจะมาจอดในชานชาลาเบอร์ 8 และออกเวลา 8:45 แต่อาจจะมาช้า 8 นาที(8 minutes behind) สามารถไปยืนรอตรงแถวที่เป็นสัญลักษณ์สามเหลี่ยม ตั้งแต่โบกี้หมายเลข 1-12

อธิบายเท่านี้คงพอเข้าใจนะ แต่เวลาจะไปยืนรอที่แถวตามรูปสัญลักษณ์บนพื้น ให้สังเกตเวลาและชื่อขบวนรถไฟให้ดีด้วยว่าใช่ขบวนที่เราจะขึ้นหรือป่าว สังเกตจากตัวอย่างที่ป้ายไฟ ขบวนรถไฟแถวที่ 1 กับแถวที่ 4 มันให้ไปยืนรอที่ตำแหน่งเดียวกันเลย แต่เวลาที่รถไฟจะเข้ามาจอดที่ชานชาลาเบอร์ 7 เป็นคนละเวลา แต่ใกล้เคียงกัน ถ้าเราจะขึ้นขบวนที่ไป Kyoto แล้วเราดันไปถึงก่อนเวลา ระวังไปขึ้นผิดขบวน เผลอไปขึ้นขบวนที่จะไป Takatsuki แทน( ดูจากเวลา ขบวน Takatsuki จะต้องออกจากชานชาลาก่อนขบวนที่จะไป Kyoto ถ้ามันยังแสดงอยู่บนป้ายไฟ แสดงว่ามันยังไม่ไป ถ้าออกไปแล้วมันจะหายไปจากป้ายไฟ)

ตัวอย่างสัญลักษณ์บนพื้น สามเหลี่ยมและวงกลมบอกว่าเป็นแถวของรถไฟขบวนไหน ส่วนเลข 6 หมายถึงเป็นแถวที่ตรงกับตู้โบกี้หมายเลข 6

อีกวิธีนึงในการสังเกตว่าขึ้นถูกขบวนมั้ยคือให้ดูข้างตู้โบกี้ที่แสดงชื่อขบวนรถไฟ ก็ดูว่ามันเป็นขบวนเดียวกับที่เราจะขึ้นมั้ย ตัวอย่างด้านล่าง ชื่อขบวนรถไฟคือ Sakura 561 สถานีปลายทางคือ Kagoshima Chuo โบกี้นี้เป็นโบกี้สำหรับผู้โดยสารที่สำรองที่นั่งไว้(Reserved) และห้ามสูบบุหรี่

สัญลักษณ์ตรงพื้นชานชาลามันมีมากมายหลายแบบ ตัวอย่างที่เห็นด้านล่าง เอาทางซ้ายสีเขียวก่อน คือบอกว่าเป็นแถวของรถไฟขบวน Mizuho/ Sakura/ Hikari และ Kodama รถไฟขบวนดังกล่าวจะมีทั้งหมด 8 โบกี้ และแถวที่ยืนอยู่จะตรงกับตู้โบกี้ที่ 5 ส่วนสีเหลืองฝั่งขวา คือแถวสำหรับรถไฟขบวน Nozomi กับ Hikari รถไฟขบวนดังกล่าวจะมีทั้งหมด 16 โบกี้ และแถวที่ยืนอยู่จะตรงกับตู้โบกี้ที่ 9 (จะสังเกตว่าตรงแถวสีเขียวก็มีขบวน Hikari เหมือนกัน คราวนี้ก็ต้องดูที่ป้ายไฟด้านบนประกอบ)

อันนี้เป็นตัวอย่างว่ารถไฟที่มาถึงเป็นของแถวสีเหลือง แถวนี้ตรงกับตู้โบกี้ที่ 10

อย่าลืมสังเกตด้วยว่าตู้โบกี้ไหนเป็นตู้โบกี้ที่ต้องหรือไม่ต้องสำรองที่นั่ง สังเกตุที่ป้ายไฟ สัญลักษณ์ที่พื้นชานชาลา และที่ด้านข้างตู้โบกี้รถไฟ

บทสรุป: หลักง่ายๆในการขึ้นรถไฟ
1. ต้องรู้ว่ารถไฟที่จะนั่งเป็นรถไฟประเภทไหน แล้วเดินไปขึ้นให้ถูกชานชาลาของรถไฟประเภทนั้น
2. เมื่อเดินมาถึงชานชาลาแล้ว
-สำหรับรถไฟ JR และ SHINKANSEN
ให้ดูชื่อขบวนรถไฟและเวลารถไฟออกที่ป้ายไฟว่ามีตรงกับขบวนที่เราจะนั่งมั้ย แล้วดูหมายเลขชานชาลา พอเดินไปถึงชานชาลานั้นแล้ว สิ่งที่ต้องทำคือ "ยืนให้ถูกแถวขึ้นให้ถูกขบวน"
-สำหรับรถไฟใต้ดิน SUBWAY
ให้สังเกตป้ายบอกทาง สีของขบวนรถไฟที่เราจะนั่งแล้วเดินตามทางไป พอถึงทางลงชานชาลารถไฟ สิ่งที่ต้องทำคือ "ลงให้ถูกทาง ขึ้นให้ถูกฝั่ง"

อธิบายซะยืดยาว สรุปมาให้เหลือ 2 ข้อ ง่ายมั้ย? หวังว่าจากนี้ไป คงจะไม่งงไม่หลงแล้วนะครับ☺

ปล.ชื่นชอบบทความ ช่วยกดไลท์กดแชร์ Facebook Fan Page ด้านล่างสุด จักขอบพระคุณเป็นอย่างยิ่งครับ

ความคิดเห็น

  1. ขอบคุณมาก ๆ นะคะ ทีแรกยังงง ๆ อย่างที่ทุกคนเป็นนั่นแหละค่ะ ตอนนี้เข้าใจแล้วค่ะ

    ตอบลบ
    คำตอบ
    1. ครับผม ลองดูครับ สงสัยอะไรก็ถามได้นะ😊😊😊

      ลบ

แสดงความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

แนะนำโรงแรมโดนๆ: Urashima Hotel  โรงแรมที่ใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่นกับสุดยอดออนเซน!! วันนี้มารีวิวโรงแรมที่ได้ชื่อว่าเป็นโรงแรมใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่น มีชื่อว่า Urashima Hotel ตั้งอยู่ในจังหวัดวากายาม่า (Wakayama) เมืองคิอิคัทสึอูระ (Kiikatsuura) เมืองนี้เป็นแหล่งจับปลาทูน่าได้มากที่สุดของญี่ปุ่นด้วย โรงแรมแห่งนี้ตั้งอยู่เกาะ ประมาณว่าเกาะทั้งเกาะเป็นของเค้า พื้นที่หลักๆแบ่งออกเป็นสองส่วน ส่วนแรกตั้งอยู่เชิงเขาด้านหน้าเกาะ ซึ่งเป็นส่วนของเคาน์เตอร์ reception และห้องพักบางส่วน ส่วนพื้นที่ที่สองจะตั้งอยู่บนเขาซึ่งเป็นส่วนของห้องพักในระดับราคาที่แพงขึ้นไป มีจุดชมวิว รวมไปถึงออนเซนในบรรยากาศสุดยอด ไฮไลท์ของโรงแรมคือบ่อออนเซนทั้ง 6 บ่อในบรรยากาศออนเซนที่อยู่ในถ้ำริมหน้าผาติดทะเล จะสวยงามอย่างไรตามมาชมเลยครับ เนื่องจากตัวโรงแรมตั้งอยู่บนเกาะที่แยกตัวออกไป การเดินไปโรงแรมเราต้องนั่งเรือข้ามไป ซึ่งทางโรงแรมก็มีบริการเรือรับส่งให้กับนักท่องเที่ยวฟรี รอสักพักเรือของโรงแรมก็มา จากท่าเรือมองเห็นโรงแรมอยู่ไกลๆ นั่งเรือไปประมาณ 10 นาทีก็ถึง เข้ามาถึงโรงแรมก็จะเจอเคาน์เตอร์ Check in ก่อน...
ร้านอร่อย NAGOYA : พากิน ประชัดความอร่อย!! วันนี้จะพามากินเมนูเด่นเมนูดังในเมืองนาโกย่า ซึ่งทั้งสองเมนูนี้ก็มีจุดกำเนิดอยู่ที่เมืองนี้ ร้านแรกที่จะพาไปกินคือร้านข้าวหน้าหมูทอด yabaton เมนูเหมือนจะธรรมดาแต่มันไม่ธรรมดา ความพิเศษของข้าวหน้าหมูทอดร้านนี้คือเจ้าตัวซอสมิโซะที่ใช้ราดบนหมูทอด แตกต่างจากร้านทงคัตสึทั่วไปที่จะกินกับซอสวูสเตอร์(ซอสรสเปรี้ยวอมหวาน) ซึ่งเจ้าซอสมิโซะก็มีถิ่นกำเนิดอยู่ที่เมืองนาโงย่านี่แหละ อีกเมนูนึงที่จะพาไปกินคือข้าวหน้าปลาไหล Horaiken ร้านนี้เป็นต้นกำเนิดเมนูข้าวหน้าปลาไหลเลยนะ ก่อนที่มันจะได้รับความนิยมแพร่หลายไปทั่วญี่ปุ่น สำหรับผมต้องยกให้เป็นเบอร์หนึ่งในเรื่องข้าวหน้าปลาไหลที่อร่อยที่สุดในญี่ปุ่นเลย วันนี้พาไปกินร้านดังทั้งสองร้านของเมืองนาโงย่า ส่วนร้านไหนอร่อยกว่ากันให้ทุกท่านเป็นผู้ตัดสินเองนะครับ^^ YABATON  ข้าวหน้าหมูทอด เริ่มที่ข้าวหน้าหมูทอด Yabaton ก่อน ร้านนี้จริงๆมีสาขาอยู่ทั่วเมืองนาโงย่า ประมาณว่าเดินไปตรงไหนก็เจอ แต่เราจะพามาที่สาขาตรงสถานีรถไฟ JR Nagoya หาง่ายหน่อย พอมาถึงสถานีรถไฟ JR Nagoya แล้วให้เดินออกทางด้านหลัง ตรงทางออก Taik...
ทริป 1 วัน จาก Tokyo สู่ Shizuoka พอพูดถึงการมาเที่ยวชมความงดงามของภูเขาไฟฟูจิ หลายคนจะนึกถึงเมือง Kawaguchiko ในจังหวัด Yamanashi จริงๆแล้วภูเขาไฟฟูจิมีพื้นที่ติดกับสองจังหวัดในญี่ปุ่น อีกจังหวัดที่กล่าวถึงคือจังหวัด Shizuoka ซึ่งจะมีทัศนียภาพของภูเขาไฟฟูจิที่งดงามแตกต่างกันออกไป การมาเที่ยวชมภูเขาไฟฟูจิในจังหวัดชิซูโอกะ เราจะได้พบกับทัศนียภาพของภูเขาไฟฟูจิกับไร่ชาเขียวซึ่งมีความสวยงามไปอีกแบบ รายละเอียดโปรแกรมการเที่ยว เริ่มจากนั่งรถไฟจากโตเกียวมาลงที่สถานี Shizuoka Sta. ต่อรถบัสมาเที่ยวแถบ Nihondaira แวะถ่ายรูปที่จุดชมวิว (1)Nihondaira Hill สัมผัสกรรมวิธีการเก็บใบชาที่ (2)Nihondaira Tea Hall ถ่ายรูปไร่ชาโดยมีภูเขาไฟฟูจิเป็นฉากหลัง ตลอดจนแวะซื้อผลิตภัณฑ์ชาเขียวได้ที่ร้านขายชาในสวน จากนั้นเดินกลับมาขึ้นกระเช้าไปเที่ยวบนเขา Mt.Kuno ซึ่งเป็นที่ตั้งของศาลเจ้า (3)Kunosan Toshogu ชมสถาปัตยกรรมที่งดงามและสักการะบูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ จากนั้นนั่งกระเช้ากลับลงมาต่อรถบัสกลับเข้าไปเดินเล่นในเมือง เดินเล่นช็อปปิ้งที่ถนน (4)Gofukucho Dori แวะทานทาร์ตผลไม้ร้านดัง (5)Qu'il Fait Bon ...
ทริป 1 วัน จาก Osaka สู่ Wakayama ปราสาทสวย รวยของอร่อย ต้องที่นี่!! จังหวัดวากายาม่าตั้งอยู่ในพื้นที่ใต้สุดของภูมิภาคคันไซ มีพื้นที่ชายฝั่งติดทะลและมีเมืองหลวงชื่อวากายาม่า ชื่อเดียวกับจังหวัด อยู่ห่างจากโอซาก้าประมาณ 1 ชั่วโมงโดยรถไฟ มีสถานที่ที่น่าสนใจอยู่หลายแห่ง วันนี้เราจัดทริปเลือกเอาสถานที่ที่น่าสนใจในเมืองวากายาม่า ให้สามารถเที่ยวได้จบภายในหนึ่งวัน ลองมาดูกันว่ามีที่ไหนที่น่าสนใจบ้าง ทริปนี้เราเที่ยวกันอยู่ในเมืองวากายามา เริ่มจากนั่งรถบัสไปเที่ยวที่ (1) Wakayama Marina City ศูนย์รวมแหล่งท่องเที่ยวที่มีทั้งตลาดปลา Kuroshio สวนสนุก Porto Europa และตลาดผลไม้ กินอาหารกลางวันบาบีคิวปิ้งย่างในบรรยากาศตลาดสดติดริมทะเล จากนั้นนั่งรถบัสเดินทางไปเที่ยวต่อที่ (2) Wakayama Castle ที่มีสวนและธรรมชาติโดยรอบที่สวยงาม หามุมถ่ายรูปสะพานไม้โบราณที่มีตัวปราสาทวากายาม่าเป็นฉากหลัง จากนั้นแวะกินราเมงก่อนกลับที่ร้าน (3) Ide Shoten Ramen ราเมงที่ชนะที่ 1 ในรายการทีวีแชมเปี้ยน ร้านดังประจำจังหวัด จบทริปเดินทางกลับโอซาก้า ขอเริ่มที่สถานี JR-Namba Sta. ในเมือง Osaka นั่งขบวนรถไฟ JR Yamatoji ...
ทริป 1 วันจาก Osaka สู่จังหวัด Mie จังหวัดมิเอะ(Mie)ตั้งอยู่ทางตอนกลางของเกาะฮอนชู เป็นอีกหนึ่งจังหวัดที่มีสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจเยอะมาก ไม่ว่าจะเป็นสถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติ เช่น เกาะไข่มุข(Mikimoto Pearl Island) หินแต่งงาน(Meoto Iwa) มีอาหารอร่อยที่มีชื่อเสียง เช่น กุ้งมังกรอิเสะ หอยนางรม (ที่มีชื่อเสียงติดอันดับ 1 ใน 3 ของญี่ปุ่น อย่างที่เคยเขียนไว้ในรีวิวก่อนหน้านี้  Maruzen Oyster Farm ) รวมไปถึงเนื้อมัตสึซากะหนึ่งในเนื้อวัวที่ดีที่สุดของโลกก็เป็นผลผลิตมาจากจังหวัดนี้ มีสถานที่ท่องเที่ยวทางวัฒนธรรม เช่น ศาลเจ้าอิเสะ(Ise Grand Shrine) ถนนโบราณโอฮาไรมาชิ(Ohamarachi) และปราสาทอิงะ(Iga Castle) รวมไปถึงสถานที่ท่องเที่ยวอื่นๆอีกมากมาย เช่น พิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำ(Toba Aquarium) พิพิธภัณฑ์นินจา(Ninja Museum of Igaryu) และงานจัดแสดงไฟที่ยิ่งใหญ่ Nabana No Sato Winter Illumination(อ่านรีวิวได้ที่นี่  Nabana No Sato Winter Illumination ) ที่กล่าวมาทั้งหมดคงใช้เวลาเที่ยวภายในวันเดียวไม่หมด ผมมีเวลาอยู่ในจังหวัดนี้แค่ 1 วันเลือกเที่ยวอยู่แค่ในเมืองอิเสะ(Ise)และเมืองโทบะ(Toba) ...
ทริป 1 วัน จาก Osaka สู่ Hyogo ตอน: เช้าไปเย็นกลับที่ Arima Onsen ทริปนี้เรามาเที่ยวกันที่จังหวัดเฮียวโกะ จังหวัดนี้มีอะไรดัง? ถ้าพูดถึงเมืองโกเบคนส่วนใหญ่คงรู้จักดี โกเบก็เป็นเมืองที่อยู่ในจังหวัดเฮียวโกะ แต่วันนี้เราจะพาไปเที่ยวเมืองออนเซนชื่อดังที่อยู่อีกฝั่งนึงของเมืองโกเบ อาริมะออนเซนเป็นเมืองออนเซนที่มีชื่อเสียง มีน้ำแร่คุณภาพดีที่สุดติดอับดับ 1 ใน 3 ของญี่ปุ่น สามารถเดินทางมาจากโอซาก้า เที่ยวแบบเช้าไปเย็นกลับได้ นอกจากนั้นในช่วงเย็นๆ เราพาขึ้นเขาไปดูวิวกลางคืนของอ่าวโกเบที่ได้ฉายาว่า The Million Dollar Night View ทริปนี้จะฟินขนาดไหน ตามมาครับ HANKYU HIGHWAY BUS เราเลือกใช้วิธีการเดินทางจากโอซาก้าโดยรถบัสของ Hankyu Highway Bus น่าจะเป็นวิธีการเดินทางที่ง่ายที่สุด ถ้านั่งรถไฟมันต้องนั่งกันหลายต่อ เรามาขึ้นรถบัสที่ Hankyu Sanban Gai ใต้สถานีรถไฟใต้ดิน Hankyu Umeda Sta.(Subway) รถบัสที่วิ่งไปกลับระหว่างโอซาก้ากับอาริมะออนเซนจะมีอยู่ด้วยกัน 3 สาย นั่งไปได้ทั้ง 3 สาย ต่างกันที่จะมีบางสายวิ่งตรง บางสายแวะบางจุดก่อน จากภาพด้านล่าง -สายสีแดง(Express) จะแวะที่สถานีรถไ...
ทริป 1 วัน จาก Tokyo สู่ Chiba เสน่ห์ 2 เมืองเก่าในจังหวัดชิบะ ตามรอยละครดัง ทริปนี้โปรแกรมไม่แน่น มีเวลาให้เดินเล่นชมเมืองสบายๆในเขตเมืองเก่าทั้ง 2 เมืองในจังหวะดชิบะซึ่งอยู่ไม่ไกลกัน ส่วนที่พาดหัวไว้ว่า "ตามรอยละครดัง" เพราะว่ามีหนังญี่ปุ่นหลายต่อหลายเรื่อง รวมไปถึงละครไทยเรื่อง "รอยรักหักเหลี่ยมตะวัน" และหนังไทยเรื่อง "ฟัด จัง โตะ" ก็ใช้โลเคชั่นของวัดนาริตะซันกับเมื่องโบราณซาวาระเป็นที่ถ่ายทำด้วย การเดินทางสู่เมืองนาริตะเริ่มจากสถานีรถไฟ Tokyo Sta. นั่งรถไฟสาย JR Sobu Line Rapid Service ถึงสถานี Narita Sta. ใช้เวลาเดินทาง 73 นาที (จริงๆมีขบวนอื่นสามารถเดินทางมาถึงได้เหมือนกัน แต่ขบวนนี้ง่ายที่สุดแล้ว) รถไฟจะแวะจอดที่สถานี Chiba Sta. ไม่ต้องลง นั่งต่อไปเลยจนถึงสถานี Narita Sta. รถไฟขบวนนี้จะมีทุกๆชั่วโมง ถึงเมืองนาริตะ เที่ยววัดดังประจำจังหวัด Naritasan Shinshoji ตลอดเส้นทางสู่วัดนาริตะซังจะผ่านถนนสายการค้า Omotesando ซึ่งสองข้างทางเต็มไปด้วยร้านค้าขายของที่ระลึก สินค้าพื้นเมือง และร้านอาหารยาวเป็นระยะทางกว่า 1 กิโลเมตร ระหว่างทางท่านจะพบ...
Ikaho Onsen "เมืองบันไดหิน กับ ออนเซ็นเทพเจ้า" Ikaho Onsen เป็นออนเซ็นที่ตั้งอยู่ในจังหวัดกุนมะ(อีกแล้ว) ในจังหวัดกุนมะมีออนเซ็นที่มีชื่อเสียงอยู่หลายแห่ง เช่น Kusatsu Onsen, Takaragawa Onsen.  Ikaho Onsen ก็เป็นเมืองออนเซนอีกแห่งนึงที่อาจจะมีชื่อเสียงน้อยกว่าออนเซ็นทั้งสองแห่งที่กล่าวมา แต่เมืองนี้ก็มีเสน่ห์อยู่ไม่น้อย มีกลิ่นอายของความเป็นเมืองเก่า และไฮไลท์ของ Ikaho Onsen ที่ไม่เหมือนใคร คือ ใจกลางเมืองเก่าจะมีบันไดหินเก่าแก่พาดผ่านชุมชนที่ตั้งอยู่บนเนินเขา เป็นระยะทางกว่า 300 เมตร ตามบันทึกในสมัยโบราณกว่า 400 ปีมาแล้ว เมืองแห่งนี้ถูกเรียกว่า "Ishidan gai" หรือ "เมืองเเห่งบันไดหิน" นั้นเอง การเดินทางมายังเมือง Ikaho Onsen ให้นั่งรถไฟมาลงสถานีที่ใกล้ที่สุดคือสถานี Shibukawa ถ้ามาจากโตเกียวจะใช้เวลาประมาณ 90 นาที จากนั้นนั่งรถบัสต่อมาอีก 30 นาที แต่ก่อนจะไป Ikaho Onsen เราขอพาไปกินอะไรอร่อยๆก่อน ร้านที่จะพาไปกินคือร้านขายทงคัตสึ ที่ตั้งอยู่ในเมือง Maebashi ซึ่งเป็นเมืองทางผ่านไปยัง Ikaho Onsen ร้านที่ว่าชื่อร้าน Katsuhisa Muan ร้าน...
"รีวิว โรงแรม Toyoko Inn โรงแรมประหยัดที่มีเครือข่ายมากที่สุดในญี่ปุ่น" "ถ้ามาญี่ปุ่นแล้วไม่เคยเห็น TOYOKO INN เหมือนมาไม่ถึง" คำพูดนี้คงไม่เกินจริง เพราะถ้าคุณลองสังเกตุดู ทุกครั้งที่คุณเดินออกจากสถานีรถไฟ ภายในรัศมี 1 กิโลเมตรคุณมักจะพบเห็นโรงแรม Toyoko Inn อยู่เสมอ Toyoko Inn เป็นโรงแรมทึ่มีสาขาเยอะที่สุดในญี่ปุ่น ปัจจุบันมีมากกว่า 250 สาขาทั่วประเทศ แทบทุกจังหวัดโดยเฉพาะจังหวัดที่เป็นเมืองท่องเที่ยวจะต้องมีโรงแรม Toyoko Inn ตั้งอยู่ใกล้ๆสถานีรถไฟเสมอ ในเมืองใหญ่ๆ ในบางพื้นที่ที่กับใกล้สถานีรถไฟอาจจะมีสาขาของโรงแรม Toyoko Inn มากถึง 2-3 สาขาในพื้นที่ใกล้เคียงกัน "นี่มันโรงแรมหรือ 7-11 กันแน่???" โรงแรม Toyoko Inn เป็น Budget Hotel ระดับสามดาว ไม่ได้หรูหรา มีขนาดไม่ใหญ่นัก ห้องพักสะอาด เดินทางสะดวกเพราะตั้งอยู่ใกล้สถานีรถไฟ ถึงแม้โรงแรมและห้องพักจะมีขนาดเล็กไปสักหน่อยแต่มีสาธารณูปโภคครบครัน รวมไปถึงข้าวของเครื่องใช้ที่จำเป็นตามมาตราฐานของโรงแรมที่ดี(อาจจะแตกต่างกันบ้างในบ้างสาขา สามารถเช็กได้จาก website ของโรงแรมแต่ละสาขา)   ทุ...